วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทองคำยังพุ่งได้อีก

ที่มา : http://www.thaigold.info

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2010





การดีดตัวของทองคำถึง 24% ในปีนี้ กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่สามารถยับยั้งจอร์จ โซรอส จอห์น พอลสัน และพอล ทัวรัดจิ ได้ และเมื่อดูจากหนังสือที่แจ้งแก่คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของ สหรัฐในเดือนนี้ บริษัท โซรอส ฟันด์ แมเนจเมนต์, พอลสันแอนด์ โค และทัวรัดจิ แคปิตอล แมเนจเมนต์ ลงทุนในทองคำมากที่สุด

จากข้อมูลของบลูมเบิร์ก การถืออีทีเอฟทองคำ 2,088 ตัน มีขนาดเท่ากับปริมาณทองคำในเหมืองสหรัฐ 9 ปี และรายงานโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ประบุว่า โลหะมีค่าจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดในปีหน้า การซื้อทองคำเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนกำลังเร่งคว้าสินทรัพย์หนัก เพราะรัฐบาลและธนาคารกลางอัดฉีดเงินมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบการเงินโลก

แบล็กร็อค อิงซ์ กล่าวว่า ทองคำที่กองทุนอีทีเอฟถืออยู่ มากกว่าทองคำแท่งที่ทุกประเทศสำรองอย่างเป็นทางการ ยกเว้นสหรัฐ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศส

ไมเคิล เพนโต นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส บริษัทยูโร แปซิฟิก แคปิตอล ที่เคยคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องว่าทองจะพุ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา บอกว่า ใคร ที่ขายทองในตอนนี้กำลังทำผิดพลาดอย่างมหันต์ และว่าตลาดกระทิงของทองคำ จะสิ้นสุดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเริ่มเป็นบวก แต่ในตอนนี้ยังห่างไกลจากนั้นมาก และยัง เชื่อว่าเฟดจะต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มอีกเพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่ ให้สูงขึ้น และเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ทองคำดีดตัวขึ้น 87% นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 เมื่อเฟดลดดอกเบี้ยมาตรฐานและตลาดสินเชื่อทั่วโลกเริ่มที่จะล้ม ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ 500 ปรับตัวลง 21% นับตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาดัชนีพุ่งขึ้น 23% มากที่สุดนับแต่ปี 2546 แล้ว

เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 และมีแผนการที่จะอัดฉีดเงินอีก 600,000 ล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจไปจนถึงเดือนมิถุนายน ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นโครงการที่รู้กันว่าเป็นการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง

ไมเคิล คักกิโน นักวิเคราะห์ของเพอร์มาเนนต์ พอร์ตโฟลิโอ ฟันด์ ในซานฟรานซิสโก กล่าวว่า การ ผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสองยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตลาดมองหาสินทรัพย์หนักๆ อย่างเช่นทองคำเข้าไปอีก เพราะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่แท้จริงหลังจากคำนวณเงินเฟ้อแล้ว ยังคงเป็นลบ และโภคภัณฑ์กำลังจะปรับตัวขึ้นอีกจนกว่าดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลง

ทองคำทำสถิติที่ 1,424.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในตลาดลอนดอนเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน และราคาทองคำปรับตัวขึ้นเป็นปีที่สิบติดต่อกันแล้ว ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับแต่ปี พ.ศ. 2463 เป็นอย่างน้อย แต่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 9.5% ขณะที่พันธบัตรสหรัฐให้ผลตอบแทนแค่ 7.3%

โลหะมีค่าชนิดอื่นๆ ก็ให้ผลตอบแทนดีขึ้นในปีนี้ ตราสารล่วงหน้าเงิน ปรับตัวขึ้น 61% เมื่อดูจากข้อมูลถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน และจะต้องปรับตัวขึ้นอีก 85% จึงจะเท่ากับสถิติที่เคยทำไว้ที่ 50.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อปี 2523 พาลลาเดียมก็ปรับตัวขึ้น 72% ในตลาดลอนดอน และจะต้องดีดตัวอีก 60% จึงจะเท่ากับระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 1,125 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อปี 2544

แบร์รี่ เจมส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เจมส์ อินเวสเมนต์ รีเสิร์ช กล่าวว่า ข้อ บกพร่องที่สำคัญสุดของทองคำในขณะนี้ คือ มันได้รับความนิยมมาก และทองคำได้กลายเป็นแฟชั่นและมีความบ้าคลั่งเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับการดีด ตัวในขณะนี้

นักลงทุนออปชั่นตราสารล่วงหน้าทองคำในตลาดโคเม็กซ์ กำลังคาดการณ์ว่า ทองคำจะดีดตัวขึ้นต่อไป และออปชั่นที่มีการถือมากที่สุดเป็นอันดับสอง ให้สิทธิ์แก่ผู้ถือซื้อทองคำที่ 2,000 ดอลลาร์ภายในเดือนพฤศจิกายน 2554

เพนโต กล่าวว่า ทองคำจะพุ่งขึ้นไปถึง 1,800 ดอลลาร์ภายในปลายปีหน้า หลังจากที่ได้คาดการณ์ได้อย่างถูกต้องเมื่อเดือนกันยายน 2549 ว่า ทองคำจะถึง 1,200 ดอลลาร์ก่อนปลายปี และคาดว่าจะถึง 1,400 ดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมปีนี้

อัลลิสัน นาธาน, เจฟฟรี เคอร์รี่ และนักวิเคราะห์คนอื่นๆ ของโกลด์แมน แซคส์ ในลอนดอน นิวยอร์ก และฮ่องกง กำลังคาดการณ์ว่า ทองจะสูงถึง 1,650 ดอลลาร์ใน 12 เดือน และโลหะมีค่าจะให้ผลตอบแทน 30% ในช่วงนั้น ซึ่งมากกว่า พลังงาน โลหะอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร

โรเบิร์ต โซเอลลิค ประธานธนาคารโลกกล่าวเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนว่า เขาไม่ได้ยกทองคำเพราะมีแนวโน้มที่จะกลับไปใช้มาตรฐานทองคำ แต่มันเป็นเครื่องชี้ว่าขาดความเชื่อมั่นต่อนโยบายในการเติบโต

ส่วนโรนัลด์ สโตเฟอร์เล นักวิเคราะห์ของเอิร์สต์ กรุ๊ป แบงก์ ในเวียนนา คาดว่า ทองจะถึง 1,600 ดอลลาร์ภายในเดือนมิถุนายน เพราะเฟดสามารถพิมพ์และออกธนบัตรได้ แต่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความไว้วางใจให้กับดอลลาร์สหรัฐได้

ไม่มีความคิดเห็น: