วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การย้าย Temp file ไปไว้ใน drive อื่น

คลิ๊กขวาที่ My Computer เลือก Properties
เข้าไปที่ Advanced กดปุ่ม Environment Variables
ในช่อง User Variables ด้านบนจะมี TEMP อยู่
ดับเบิ้ลคลิ๊กแล้วเพื่อ Edit แล้วเปลี่ยนค่าในนั้นให้เป็น Folder ที่ต้องการ
เช่น D:\Temp เสร็จแล้วกด OK ออกไปให้หมด (น่าจะต้อง Restart ใหม่ด้วย)

ส่วนถ้าจะเปลี่ยนกลับเป็นค่าเดิมก็ทำเหมือนเดิมแล้วใส่ค่านี้ลงไปครับ
%USERPROFILE%\Local Settings\Temp


ลอกมาจาก http://www.gamer-gate.net/index.php?a=bbs&b=view&id=37635   :)

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่

Get this widget | Track details | eSnips Social DNA


สวัสดีปีใหม่ ใครรักใครขอให้ได้แต่งงานกัน

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วิธีการเจียวไข่ให้อร่อย (กว่าเดิม) ครับ

ตั้งใจจะหาวิธีการเจียวไข่ให้อร่อยโดยใช้ google ปรากฏว่าได้สูตรนี้มาครับ ทั้งหมด ก๊อบมาจาก http://www.bikeloves.com/board_misc/show_thread.php?qID=1397 ครับ



เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ช่วงนี้ ไข่จึงเป็นอาหารยอดนิยม ที่ทั้งราคาประหยัด และคุณค่าทางอาหาร ค่อนข้างครบถ้วนครับ
ข้าวไข่เจียว ก็เป็นอะไรที่คนนิยมกันมากครับ วันนี้เอาวิธีเจียวไข่ให้อร่อยมาฝากครับ ^^

การทำไข่เจียว ตามหลักวิทยาศาสตร์

1. จุดประสงค์ของการทำไข่เจียวก็คือ ทำไข่ให้ฟูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นไข่กวน ใช่มั้ยล่ะครับ
2. ทางวิศวกรจึงได้คิดค้นหลักการฟูไข่ ด้วยการเติมน้ำลงไปกน้อย ในอัตราส่วน น้ำ 12.865 cc ต่อไข่ไก่มวล 2.86792 กรัม หรือประมาณ 2.653 ฟอง
3. หลังจากการตีไข่ด้วยเครื่องปั่นที่ความเร็ว 1200 รอบต่อวินาที เป็นเวลา 1 นาที หรือถ้าตีด้วยซ่อมก็จะใช้ความเร็ว 2608.50 ทีต่อชั่วโมง เพื่อให้อะตอมของน้ำ แทรกซึมเข้าไปในอนูของไข่อย่างเต็มที จากนั้นรีบเทส่วนผสมลงไปในน้ำมันร้อนๆ ที่ที่กำลังเดือดปุดๆ ณ อุณหภูมิประมาณ 1250.75 องศาฟาเรนไฮท์
4. ที่อุณหภูมิขนาดนั้น จะทำให้อะตอมของน้ำ ทำปฏิกิริยาคาโรแดนโนโทรฟี่ไดแอ็คโครโรซีนิกส์กับน้ำมัน ทำให้อะตอมของน้ำเกิดการระเหยอย่างฉับพลันหรือที่เรียกกันว่าแอนฟี่ไออ้อน ไตรแซ็คนีเฟียส ทันที่มีอะตอมของน้ำระเหย จะดันอะตอมของไข่ไปรอบๆ ตัวมัน ผลก็คือ เกิดการพองเป็นเม็ดๆ ไปทั่วไข่
5. การพองดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเยี่ยงปฏิกิริยานิวเคลีย ทำให้ไข่ฟูฟ่องเต็มกระทะน่ากินยิ่งนัก
6. ผลการทดลองสำเร็จไปด้วยดี แต่... มันได้เกิดผลข้างเคียงจากการผสมน้ำลงไปในไข่ นันคือเกิดแกสอโลม่าซานโฟนิออสโพรฟิเนคีติ ซึ่งค่อนข้างมีกลิ่นหืนกน้อย ทางวิศวกรจึงได้เติมน้ำมะนาวลงไป 5.006 cc หรือ 1/6 ผล
7. ผลปรากฏว่า ไข่เจียวมีกลิ่นหอมน่าทานเป็นยิ่งนัก จึงได้มีการเผยแพรเคล็ดลับนี้ตามสถานีข่าวและเว็บไซต์ชั้นนำของโลก จนเป็นที่กล่าวขวัญมาจวบจนทุกวันนี้
ยังไม่อร่อยครับ ต้องทำอันนี้ด้วย

การเทไข่จากภาชนะที่ตีลงกระทะนั้น
จะต้องคำนวนความสูงให้พอดี... ความเร็วขณะไข่ประทะน้ำมันขณะร้อนนั้นจะต้องอยู่ที่ 2.124 m/s พอดิบพอดี
และการที่ไข่ประทะน้ำมันที่ร้อนนั้น อาจจะเกินพลังงานส่วนเกิน ทำให้พลังงานความร้อนในน้ำมันเพิ่มขึ้นได้
จึงต้องลดมือลงด้วยความหน่วง รู้ด2.5 m/sสแควร์ เพื่อรักษาพลังงานในน้ำมันให้คงที่... ไม่ให้ร้อนเกินไปครับ

แค่นี้ เราก็จะได้กินไข่ที่อร่อยกันแล้วครับ

ลองกลับไปทำดูที่บ้านดูนะครับ

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความมืดมนในจิตใจของมนุษย์


แสงแดดสาดส่องทั่วพื้นปฐพี
แต่ความมืดก็ยังปกคลุมไปทั่วดินแดน
มันเป็นความมืดมนในจิตใจของมนุษย์
มีเพียงบุคคลธรรมดา ๆ ที่ผ่านการฝึกฝนเท่านั้น
ที่สามารถมองเห็นความมืดมนนั้นได้

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

THE LEGEND AND THE HERO

กำลังดูหนังเรื่องนี้อยู่สนุกดี มีทั้ง เทพจริง เทพปลอม ปีศาจ สู้กันวุ่นไปหมด ถ้าเกิดผู้ปกครองมัวเมาไม่ยึดหลักความยุติธรรมบ้านเมืองก็พินาศ สมัยก่อนถ้าบ้านเมืองห่วยแตกทั้งชาวบ้านทั้งขุนนางก็หนี อพยพออกไปอยู่อีกเมืองนึงที่สงบกว่า ยังดูไม่จบอยากรู้จริง ๆ ว่า สุดท้ายปีศาจในร่างของมนุษย์ จะมีจุดจบอย่างไร


เล่ากันว่า หลังจากเทพผานกู่ได้สร้างโลกขึ้น เจ้าแม่หนี่วาก็ได้ให้กำเนิดมนุษย์โลกมนุษย์ แดนสวรรค์ และแดนปีศาจ ก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ซางที่ฮ่องเต้จะต้องไปเคารพเจ้าแม่หนี่วา ใครก็ตามที่มาขัดขวางรบกวนพิธีนี้จะต้องโทษตายสถานเดียวช่วงปลายราชวงศ์ซาง ซึ่งมีโจ้วอ๋อง (หม่าจิ่งเทา) เป็นฮ่องเต้องค์สุดท้ายปกครองเมืองเฉาเกอพระองค์มีนิสัยโหดเหี้ยม เอาแต่ใจ หลงเชื่อคำยุยงของขุนนางขี้ประจบ นิยมการสงครามและลุ่มหลงนารีส่วนพสกนิกรของพระองค์ก็ลุ่มหลงลาภยศเงินทอง มีการแบ่งแยกฝ่ายดีฝ่ายชั่วกันอย่างชัดเจนโจ้วอ๋องได้ฟังคำพูดของเฟ้ยจ้งผู้เป็นขุนนางคนสนิทว่า ซูตั้นจี (ฟ่าน ปิงปิง) ลูกสาวของซูหู่เจ้าเมืองจี้โจวงดงามดุจเจ้าแม่หนี่วาและเป็นคนดี โจ้วอ๋องจึงได้ให้เฟ้ยจ้งกับโหยวหุนไปนำตัวซูตั้นจีเข้าวังเพื่อมาเป็นเจ้าจอมมีอยู่วันหนึ่งโจ้วอ๋องได้ไปสักการะเจ้าแม่หนี่วา และได้แต่งกลอนล่วงเกินเจ้าแม่หนี่วาทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือนเจ้าแม่หนี่วาได้สั่งให้เจียงจื่อหยา และเซินกงเป้า ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยให้โจ้วอ๋องกลับตัวกลับใจแต่เซินกงเป้าคิดวิธีสกปรกโดยเรียกปีศาจจิ้งจอกเก้าหางเข้าไปสิงในตัวซูตั้น จี หลังจากถูกจิ้งจอกเก้าหางเข้าสิงซูตั้นจีก็กลายเป็นคนเหี้ยมโหดและมักจะยุยงโจ้วอ๋องให้ทำแต่เรื่องไม่ดี ใช้มารยายั่วยวนให้โจ้วอ๋องลุ่มหลงจนละทิ้งงานราชการต่างๆ จนทำให้แผ่นดินต้องลุกเป็นไฟ!!!

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันนี้วันหยุดคริสมาส

วันนี้วันหยุดมันเงียบ ๆ เหงา ๆ เหมือนว่าวันคริสมาสจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราชาวพุทธ แต่ปัจจุบันนี้ โลกมันแคบ ที่ว่าไม่เกี่ยวมันก็เกี่ยวเหมือนกันน่ะแหละ ถ้าเพื่อนที่เมืองนอกพูดถึงวันคริสมาส เราก็รับรู้ได้ในทันที คนที่ลงทุนกับกองทุนต่างประเทศ หรือดูข้อมูลการลงทุนของต่างประเทศ ก็จะรู้ว่าเค้าหยุดกันหมด

เกริ่นซะยาว คือเนื่องจากมัน เบื่อ ๆ ก็เลยเขียนคำเล่น ๆ ใน facebook มีคนมากดถูกใจให้

เบื่อชีวิต คิดไฉน ปีหน้าฟ้าใหม่ คงได้เจอ หากละเมอ ตกกะได คงจบกัน

อ่านแล้วอ่านอีกในสิ่งที่เขียนไป ท่อนนี้มีทั้ง ความเศร้า ความหวัง ความรัก ปรัชญา และอารมณ์ขัน

ใครที่ผ่านมาอ่านที่นี่คิดอย่างไรบ้างล่ะครับ

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันคริสมาสต์


คริสมาสต์(Christmas หรือ X'Mas) คือเทศกาลเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ ซึ่งตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม พระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

คริสมาสต์ เป็นคำทับศัพท์ภาษา อังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า" Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส
ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่ง ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวัน หรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

องค์ประกอบในการฉลองคริสมาสต์

1. คำอวยพร
สำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรีย แห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

2.ซานตาครอส
นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ซานตาครอสจริงๆแล้ว แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย
นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดย มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่ชุดสีแดงอาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อน เป็นยานพาหนะมีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมา ทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้ เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติ ของเขา

3.ต้นคริสมาสต์
ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารี ชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิตและตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

4.การทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบล เบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวาย มิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระ สันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาส

5.เทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของ เทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และ ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

6.เพลงคริสมาสต์
เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ใน ศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จาก ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อ โจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลง คริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber)ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/18211

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ต่างคนก็ต่างมุมมอง ทำให้เรื่องบางเรื่อง ที่คนมองว่าเหมือนกัน แต่ความจริงมันไม่เหมือนกัน การแก้ปัญหามันก็ต้องไม่เหมือนกัน ถ้าหากใช้วิธีเดียวกันมันก็ไม่ได้ประโยชน์ แก้ปัญหาไม่ได้ หนำซ้ำบางครั้งอาจจะเป็นการแก้ปัญหาใหม่ การตัดสินใจในเรื่องอะไรก็ตาม จะต้องมีข้อมูลที่มากเพียงพอ ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำให้มองภาพผิด นำไปสู่การดำเนินการที่ผิดพลาดได้ อาการที่ปรากฏ อาจเกิดจากสาเหตุที่ต่างกันได้ ข้อมูลที่มากพอจะทำให้เราแยกแยะสาเหตุของปัญหาได้ดีกว่า จะได้ไม่ผิดทาง เข้าใจมะ

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

MJLF เปิดจองหน่วยลงทุนเพิ่ม

รายละเอียดตามภาพครับ :)



การลงทุนมีความเสี่ยง ผุ้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 21 ธันวาคม 2553 โดย YLG

http://www.ryt9.com/s/prg/1053234 
 
ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 21 ธันวาคม 2553 17:10:40 น. 


สภาวะตลาดวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ ที่ระดับ $1,383.46 — $1,388.80 ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ10 อยู่ที่ 19,880 บาท โดยราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 30 บาท จากวันก่อนหน้า ที่ระดับ 19,850บาท 

แนวโน้มวันที่ 22 ธันวาคม 2553 

ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น หลังจากความวิตกกังวลในยูโรโซนเริ่มกลับเข้ามาเป็นประเด็นอีกครั้งเมื่อธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ออกมาแสดงความเห็นถึงความกังวลในเรื่องแผนการช่วยเหลือของไอร์แลนด์ โดยปัจจุบันธนาคารในไอร์แลนด์ได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 25% ของเงินทุนทั้งหมดของอีซีบี ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องของอีซีบีในเขตยูโรโซน ล่าสุด มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ออกมาประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรระยะยาวและระยะสั้นของรัฐบาลโปรตุเกส โดยก่อนหน้านี้มูดีส์ออกมาให้ความเห็นว่าอาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์บางแห่งของสเปนลงเนื่องจาก ธนาคารพาณิชย์ของสเปนคงไม่สามารถระดมทุนในตลาดการเงินได้โดยง่าย เพราะสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสเปนเอง นอกจากนี้มูดีส์ยังได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์ลงในขณะที่ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเช่นกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นประเด็นที่ยากที่จะแก้ไขได้โดยง่าย ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือของ ธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี)หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ทำได้เพียงชะลอปัญหาในระยะสั้นๆเท่านั้น ทองคำจึงกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทางด้านของสหรัฐนั้นก็จะมีการรายงานตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/2010ในคืนวันพุธ โดยคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 2.8% เพิ่มขื้นจากการประมาณครั้งที่2 ที่อยู่ที่ระดับ 2.5% แสดงถึงการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทางวายแอลจีประเมินว่าอาจจะเป็นการง่ายกินไปที่จะสรุปว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งเนื่องจาก ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมมาดีก่อนหน้านี้รวมถึงตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ อาจไม่สามารถชดเชยตัวเลขอัตราการว่างที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ ดังนั้นทางวายแอลจียังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำในระยะกลางและระยาวเช่นเดิมถึงแม้ว่าในระยะสั้นราคาอาจไม่สามารถขยับขึ้นไปได้มากนักเนื่องจากการขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนและปริมาณการซื้อขายที่เบาบางในช่วงสิ้นปี โดยกลยุทธ์การลงทุนยังคงแนะนำให้เก็งกำไรระยะสั้นในกรอบ โดยเข้าซื้อในบริเวณ $1,375(19,600บาท) และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดขึ้นในบริเวณ $1,390(19,800บาท) หรือถ้าสามารถรับความเสี่ยงได้แนะนำให้ขายบริเวณ $1,400(19,970บาท) เบื่องต้นประเมินแนวรับแนวต้านดังนี้ 

แนวรับ 1,380(19,680บาท) 1,375(19,600บาท) 1,368(19,500บาท) 
แนวต้าน 1,390(19,800บาท) 1,395(19,890บาท 

"ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "

ถ้าเมื่อไหร่ที่ "ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "สิ้นสลาย" ลง ก็เท่ากับเงินดอลล่าเหล่านั้นจะกลายเป็นกระดาษในพริบตา เรามาดูสถานการณ์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลนี้ครับ ว่าอยู่ในสภาพไหนแล้ว

1.เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนี้โดยรวมของประเทศหรือ Outstanding Debt อยู่ที่ 13.989 Trillion หรือคิดเป็น 90% ของ GDP และจะแตะ 14 Trillion ในเดือนมกราคมของปี 2011

2.เป็นหนี้ที่เกิดจากงบประมาณหรือภาระผูกพันธ์ต่อคนอเมริกันผ่านทางโครงการ Welfare ต่างๆ หรือที่เรียกว่า Unfunded Liability ของรัฐบาล อีกอย่างน้อย 75 Trillion ที่จะต้องจ่ายออกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ให้กับผู้ใช้สิทธิ์ที่รัฐบาลเกิบเงินเข้ากองทุนไว้แล้ว

3.สภาวะการว่างงาน U6 ที่พุ่งขึ้นสูงแตะระดับ 17% และสูงถึง 22-25% ในบางรัฐ

4.อันเนื่องมาจากการ Outsourcing หรือการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทีมีค่าแรงงานที่ถูกกว่า ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็น Emerging Market หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีราคาถูกกว่า แต่สิ่งนี้กลับเป็นผลสะท้อนกลับไปที่ตลาดแรงงานของสหรัฐอย่างรุนแรงเช่นกัน จนคำว่า "Made in USA" แทบจะหาไม่ได้บนชั้นสินค้าที่วางขายอยู่ในสหรัฐ

5. ตัวเลขของคนอเมริกันที่กำลังฝากท้องไว้กับโปรแกรมคูปองอาหาร หรือ Food Stamp ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะที่ละดับ 42 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของคนอเมริกันฝากชีวิตไว้กับโปรแกรม Food Stamp นี้

6.Extend Unemployment Benefit หรือการขยายเงินชดเชยการว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี ให้กับผู้ใช้สิทธิ์เรียกร้องเงินส่วนนี้ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาของเงินชดเชยลงแล้ว จาก 99 สัปดาห์ หรือที่เรียกกันว่า "กลุ่ม 99ers" (ไนตี้ไนเนอร์) และมีที่ท่าว่าคองเกรสจะตัดลดเงินส่วนนี้ในที่สุด

7.Poverty Line หรือเส้นแบ่งระดับความยากจนของสหรัฐลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ฐานกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็คือคนอเมริกันเข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มมากขึ้น

8.สถาบันการเงินที่ล้มไปแล้วกว่า 300 แห่ง และมีอีก 920 แห่ง(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่กำลังเข้าสู่สภาวะล้มละลาย

9.ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยที่ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 50 % และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องเพราะดีมานด์ที่ขาดหายไปในตลาด เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูง

10.อัตราการฟ้องยึดบ้านและที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นสูงสุดต่อเนื่องติดกันในรอบหลายสิบปี

11.การล้มละลายของ Commercial Real Estate Lender หรือสถาบันการเงินขนาดยักษื ที่ปล่อยกู้ให้กลุ่มค้าปลีกหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อภาคธนาคาร ที่ยังถูกซุกไว้ใต้พรมมาจนถึงวันนี้

12.รัฐที่ล้มเหลว หรือรัฐต่างๆ ที่เข้าสู่สภาวะล้มละลายในทางงบประมาณแล้ว 10-12 รัฐ และอีก 40 รัฐที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันในระดับความรุนแรงที่ต่างกันไป

13.ฟองสบู่ตลาดหุ่นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นถึง 70% ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ด้วยการ "Bailed Out" หรือเงินอุ้ม ที่มาจากฟากรัฐบาล โดยที่เงินดังกล่าวเกือบทั้งหมดยังคงติดค้างเป็น "กับดักสภาพคล่อง" อยู่ในสถาบันการเงินเหล่านั้น โดยไม่มีการปล่อยกู้ต่อลงมาสู่ตลาดด้วยความกังวลปัญหาของหนี้เสียและการรักษาทุนสำรองเงินฝากของธนาคาร หรือ Tier ต่างๆ

14.งบประมาณขาดดุลย์ของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากงบประมาณรายจ่ายต่างๆที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการสงครามและการทหารซึ่งถูกใช้ไปแล้ว 60-65% ของงบประมาณรัฐบาลในภาพรวม

15.ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรชนิด 10 ปี พุ่งขึ้นสุงสุดในรอบ 20 ปี นับจากปี 1988 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับ 3.5xx

16.บริษัทจัดอันดับเครดิตจ้องจะหั่นเครดิคเรตติ้งของสหรัฐลง เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่กำลังจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 90% ของ GDP

17.การทำ Quantitative Easing หรือการผ่องถ่ายเชิงปริมาณ หรือจะเรียกให้ตรงๆ เลยก็คือ การพิมพ์เงิน ออกมาใช้จ่ายนั่นแหละครับ และคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานคงจะประมาณ เดือน 4-5 ของปี 2011 FED คงจะต้องเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ หรือ QE3 นั่นเองครับ

18.อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปกปิดของรัฐบาลสหรัฐ และมีทิศทางที่จะนำไปสู่ Hyper Inflation หรือสภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวด ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012-2015 แต่ดูเหมือนอาจจะเร็วกว่านั้นครับ คือเริ่ม Kick In หรือเริ่มต้นประมาณไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2011 เป็นอย่างเร็วครับ

ทั้งหมดนี้เป็น Under Lying Diseases หรือเชื้อร้ายที่กัดกินสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ คำถามคือ "ความเชื่อมั่น" ของเงินดอลล่าสหรัฐอยู่ที่ตรงไหน แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในทางลึก การทหารและกฏหมายรองรับทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วครับ เพื่อรองรับการ Collapse หรือการล้มของเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินดอลล่า นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่โบร๊คเกอร์ในตลาดโลหะมีค่า ที่ตรงไปมาคือไม่เอียงข้างหรือฝักไฝ่รัฐบาล จะพูดในลักษณะฟันธง ตรงกันว่า "Collapse is Imminent" หรือการ "ล้ม" คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากครับ

หลายๆ ท่านคงรู้จัก Jim Sinclair หรือ Mr.Gold ที่เรียกว่าเป็นเซียนมือเก๋าคนหนึ่งในตลาด Precious Metal ของสหรัฐ ทุกวันนี้ไม่ว่าแกจะเดินทางไปไหน แกจะต้องพก "เหรียญทองคำ" ติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่า 20 เหรียญ โดยแกให้เหตุผล โดยแกคิดว่า "Flash Collapse" หรือการล้มตัวแบบฉับพลันของสหรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเงินกระดาษบัตรเครดิตทุกอย่างก็จะหยุดทำงานในทันที ซึ่งผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า แกเป็นขนาดนั้นเลยหรือ แต่ในความเป็นจริงแกน่ะ "ถูก" ครับ คนยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวยิ่งระวังมาก ซึ่งถ้าผมอยู่ในสหรัฐตอนนี้ ก็คงนึกภาพตัวเองไม่ออกครับ ว่าจะต้องเตรียมอะไรขนาดไหน เพราะคนที่อยู่วงในที่มีข้อมูลลึกๆเค้าเตรียมสำรองอาหารและน้ำดื่มไว้อย่างน้อย 6 เดือน เตรียมทุกอย่างในลักษณะ HIGH ALERT กันแล้วครับ จึงจะฝากไปถึงเพื่อนๆผู้อ่านในสหรัฐ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรปครับว่า

******* PREPARE NOW *******


อ่านฉบับเต็มได้ที่ http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/phase-iipart-5-of-1.html

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 20 ธันวาคม 2553 โดย YLG

จันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553 17:13:27 น.

สภาวะตลาดวันที่ 20 ธันวาคม 2553 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบ ที่ระดับ $1,373.00 — $1,387.35 ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ10 อยู่ที่ 19,870 บาท โดยราคาเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 130 บาท จากวันก่อนหน้า ที่ระดับ 19,740 บาท

แนวโน้มวันที่ 21 ธันวาคม 2553

ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จากการเข้าซื้อเก็งกำไรของนักลงทุน แม้ว่าการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่เกิดจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านจะออกมาสดใสก็ตาม ล่าสุดโอบามาได้ลงนามในร่างกฎหมายขยายโครงการลดหย่อนภาษีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดกันว่าโครงการนี้จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้อีกทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งจะพบว่ามาตราการนี้จะส่งผลให้ตัวเลขหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐพุ่งสูงขึ้น สร้างความเสี่ยงอย่างมากให้กับสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ออกมาแสดงความกังวลถึงความเสี่ยงในการก่อหนี้ครั้งนี้โดยมูดีส์อาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ลงในอนาคต อาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นในสกุลเงินดอลลาร์นั้นต้องสั่นคลอนอีกครั้ง ในขณะที่ทางยูโรโซน ก็ยังคงมีประเด็นปัญหาต่อเนื่อง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามูดีส์ ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์ลงสู่ระดับ Baa1 จาก Aa2 โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นเชิงลบ จากประเด็นที่กล่าวมาทำให้ทางวายแอลจีเชื่อว่าสุดท้ายแล้วทองคำจะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง นอกจากนี้แล้วล่าสุด กองทุน SPDR Gold Trust ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำ 15.18 ตัน หลังจากที่ได้ทะยอยขายมาตลอดก่อนหน้านั้น ล่าสุดอยู่ที่ 1,298.94 ตัน ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นในการถือทองคำของนักลงทุนอีกครั้ง อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรติดตามตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของผลิตภัณฑ์มวลรวภายใประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3/10ในวันพุธนี้ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะเปิดเผยโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนทางวายแอลจีแนะนำให้ทำกำไรระยะสั้น ในกรอบ $1,370(19,300บาท)-$1,390(19,800บาท) เบื้องต้นยังแนะนำให้ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นปะทะแนวต้าน $1,390(19,800บาท) หรือ $1,400(19,960บาท) โดยแนวรับแนวต้านในระยะสั้นประเมินไว้ดังนี้

แนวรับ 1,370(19,510บาท) 1,361(19,390บาท) 1,356(19,300บาท)
แนวต้าน 1,390(19,800บาท) 1,400(19,960บาท) 1,408(20,060บาท)

http://www.ryt9.com/s/prg/1052405

คนใช้มากขึ้น มีการขึ้นราคาด้วยวุ้ย

สาวกแบล็คเบอร์รี่ 8 แสนคนนิ้วสะดุด 3 บริษัทยักษ์มือถือพร้อมใจขึ้นค่า"บีบี"

ตลาดสมาร์ทโฟนแรงไม่หยุด "บีบี-ไอโฟน 4-แอนดรอยด์" ติดลมบนดันยอดใช้ดาต้าพุ่งปรี๊ด 150% "ค่ายมือถือ" อั้นไม่อยู่พร้อมใจขยับ "แบล็คเบอร์รี่" แพ็กเกจ "Unlimited" จาก 650 เป็น 790 บาท หลังปริมาณการใช้โตฉุดไม่อยู่ ยักษ์ "เอไอเอส" ส่งสัญญาณชัดหมดยุคสงครามราคา


นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับราคาแพ็กเกจแบล็คเบอร์รี่ "Unlimited" จาก 650 บาท เป็น 799 บาท เพราะราคาเดิมถือเป็นอัตราพิเศษเพื่อกระตุ้นตลาดโดยเฉพาะ ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งการเพิ่มขึ้นของจำนวนฐานลูกค้า ขณะที่ปริมาณการใช้งานมากเกิน 150% เช่น เคยใช้ 200 MB หรือเดือนละ 70 ชั่วโมง กลายเป็น 150 ชั่วโมง เป็นต้น คาดว่าการขยับราคาเพิ่มขึ้นจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกแพ็กเกจของลูกค้า แต่ไม่น่ากระทบยอดขาย เนื่องจากมีแพ็กเกจอื่นให้เลือกใช้อยู่แล้ว และในภาพรวมจะทำให้คุณภาพเครือข่ายในการให้บริการดีขึ้นด้วย

จากสถิติทั่วโลกการออกแพ็กเกจ Unlimited ที่ใช้ได้ไม่จำกัดจะพบว่ามีลูกค้าจำนวน 2-3% เป็นกลุ่มที่นำแพ็กเกจไปใช้ผิดประเภท โดยเฉพาะพวกโหลดบิท ซึ่งแค่ 2-3% ทำให้เกือบทั้งหมดเดือดร้อนด้วย ดังนั้นจะเห็นว่าแนวโน้มราคาค่าบริการคงไม่สามารถลดลงต่ำมากได้ หรือถ้าจะทำราคาอาจต้องมีเงื่อนไขอื่นร่วมด้วย เช่น ทำราคาถูก แต่กำหนดความเร็วในการใช้งาน

ทั้งนี้ ในปัจจุบันความนิยมในการใช้งานด้านดาต้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามตลาดสมาร์ทโฟนที่เติบโตมาก ส่งผลให้บริการโทรศัพท์มือถือต้องปรับแผนการขยายระบบเพื่อรองรับการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เดิมเคยขยายขีดความสามารถของระบบให้รองรับการใช้งานด้านเสียงมากกว่า 80% ดาต้าเพียงเล็กน้อยก็ต้องปรับใหม่ให้สอดคล้องพฤติกรรมการใช้ที่เปลี่ยนไป

"เดิมเราเคยประเมินว่าตลาดสมาร์ทโฟนปีนี้น่าจะโต 25% ปรากฏว่าโตมากกว่านั้นค่อนข้างมาก เพราะมีสินค้าใหม่ ๆ ทยอยเข้ามาเยอะมาก ทั้งไอโฟน 4 และเครื่องยี่ห้อต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ และวินโดวส์ โมบาย แต่ยอดขายบีบีก็ยังโตก้าวกระโดด ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเวลาจะซื้อสมาร์ทโฟน อันดับแรกจะถามก่อนว่าจะเลือกไอโฟน บีบี หรืออื่น ๆ แต่ที่เห็นเป็นปรากฏการณ์เลยคือ คนซื้อ 1 เครื่องก็อยากใช้ 2 เครื่อง คือคนใช้บีบีก็อยากใช้ไอโฟน ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนเมืองที่เลือกใช้แพ็กเกจ Unlimited เป็นกลุ่ม 10% บน"

นายปรัธนากล่าวต่อว่า รายได้จากบริการเสริมผ่านโทรศัพท์มือถือมีสัดส่วนรายได้โดยเฉลี่ยประมาณ 16-17% ของรายได้รวม หรือกว่า 20,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีการเติบโตจากปีที่ผ่านมา 28-29% จากเดิมที่คิดว่าจะเติบโต 25% ซึ่งแนวโน้มการใช้ดาต้าเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันจากฐานลูกค้าเอไอเอสกว่า 30 ล้านคน มีคนใช้ดาต้า 7 ล้านคน จาก 6 ล้านคนในปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้เอไอเอสเคยประเมินว่า ในปัจจุบันน่าจะมีสมาร์ทโฟนในตลาดมากกว่า 5 ล้านเครื่อง และไม่ต่ำกว่า 8 แสนเครื่อง โดยเป็นกลุ่มไฮเอนด์ ได้แก่ แบล็คเบอร์รี่, ไอโฟน และแอนดรอยด์

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการอนุมัติเพดานอัตราค่าบริการโทรศัพท์มือถือขั้นสูงสุดที่ 99 สตางค์ และต่ำสุด 51 สตางค์ มีผลทันที ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมองว่าจะมีผลกระทบต่อการทำตลาด หากมีการบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพราะปัจจุบันลักษณะการคิดค่าบริการของค่ายมือถือจะคิดนาทีแรกแพง แต่นาทีถัดไปถูกมาก เช่น นาทีแรก 1.50 บาท นาทีถัดไป 50 สตางค์ เป็นต้น

ด้านนายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ดีแทคปรับราคาแพ็กเกจ Unlimited ของแบล็คเบอร์รี่เพิ่มเป็นเหมาจ่าย 790 บาทต่อเดือน เพราะต้นทุนค่าเช่าวงจร (ลีสไลน์) ต่างประเทศจากเมืองไทยไปยังเซิร์ฟเวอร์แบล็คเบอร์รี่ที่แคนาดามีราคาแพงมาก และต้องเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกเดือนจากการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก

"คนใช้บีบีในต่างประเทศใช้ดาต้าไม่เกิน 100 MB แต่คนไทยใช้ 400-500 MB เยอะมาก ทราฟฟิกดาต้าเยอะเกินความสามารถของระบบที่ออกแบบไว้ ทั้งแพ็กเกจ Unlimited เหมาจ่าย 650 บาท จริง ๆ ถือเป็นโปรโมชั่น ถ้าไม่ขยับราคาขึ้นคงไม่ไหว เมื่อเร็ว ๆ นี้เทเลนอร์เคยโชว์ตัวเลขการใช้แบล็คเบอร์รี่และไอโฟนของลูกค้าทั่วโลกในประเทศที่เทเลนอร์ไปลงทุน ที่น่าตื่นเต้นก็คือเมืองไทยมีคนใช้ไอโฟนและแบล็คเบอร์รี่มากที่สุด"

สำหรับแบล็คเบอร์รี่แพ็กเกจ Unlimited ของแต่ละค่ายมีรายละเอียดดังนี้ ดีแทคมีทั้งแบบรายเดือนและเติมเงิน คิดเหมาจ่าย 790 บาทต่อเดือน ใช้ได้หมดทั้งอินเทอร์เน็ต, อีเมล์, โซเชียลมีเดีย และบีบีแชต ส่วนเอไอเอสอยู่ที่ 799 บาท สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับดีแทค แต่กับทรูมูฟ ใน Unlimited มี 2 แบบให้เลือก คือ 690 บาทต่อเดือน คิดค่าโทร.และไว-ไฟต่างหาก กับ 899 บาท เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด รวมค่าโทร.และการเชื่อมต่อผ่านไว-ไฟ

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1292771279&grpid=02&catid=no

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รัฐสภาสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายขยายโครงการลดหย่อนภาษี เตรียมยื่นให้โอบามาลงนาม

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553 15:02:47 น.

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 277 ต่อ 148 เสียง ผ่านร่างกฎหมายการขยายโครงการลดหย่อนภาษีมูลค่า 8.58 แสนล้านดอลลาร์ออกไปอีก 2 ปี หลังจากที่ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้ผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้

โดยร่างกฎหมายฉบับนี้จะถูกส่งต่อให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโอบามายอมประนีประนอมทำข้อตกลงกับแกนนำพรรครีพับลิกันในการขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ริเริ่มเอาไว้ โดยระบุว่าทางรัฐบาลจะขยายโครงการลดหย่อนภาษีของผู้มีรายได้ทุกระดับชั้นออกไปอีก 2 ปี พร้อมกับขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ประชาชนที่ว่างงานหลายล้านคนออกไปอีก 13 เดือน

การทำข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้เกิดการอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐ เนื่องจากสมาชิกพรรคเดโมแครตจำนวนมากได้ออกมาวิพากษ์วิจารณืว่า กฎหมายฉบับดังกล่าวเอื้อประโยชน์ต่อคนร่ำรวยมากเกินไป ขณะที่สมาชิกบางคนมองว่า จะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า แม้ร่างกฎหมายลดหย่อนภาษีมูลค่า 8.58 แสนล้านดอลลาร์จะสามารถกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่จะส่งผลให้ตัวเลขหนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐพุ่งขึ้นใกล้ระดับที่เป็นอันตราย โดยมีการประเมินกันไว้ก่อนหน้านี้ว่า หากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย จะส่งผลให้ตัวเลขหนี้ของสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 13.86 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 90% ของจีดีพี

มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า มูดีส์อาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ระดับ Aaa หากข้อตกลงการขยายโครงการลดหย่อนภาษีที่โอบามาและแกนนำพรรครีพับลิกันทำร่วมกันนั้น มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยมูดีส์ได้แสดงความกังวลว่า การขยายโครงการลดหย่อนภาษีอาจส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณและตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงมากที่มูดีส์จะปรับเปลี่ยนแนวโน้มความน่าเชื่อถือของสหรัฐในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

831 : I LOVE YOU

ไม่ได้ใบ้หวย เพราะนี่วันที่ 18 แล้ว บางคนบอกไว้ซื้องวดหน้า ???!!!!??? ความจริงคืออ่านเจอในนิตยสารฉบับหนึ่ง จำไม่ได้ว่าเล่มไหน เค้าบอกความหมายของตัวเลข 831 ไว้ว่ามันหมายถึงคำว่า I LOVE YOU เอ๊ะยังไง เค้าบอกว่า 8 letters 3 words 1 meaning นั่นคือ คำว่า I LOVE YOU ประกอบด้วยตัวอักษร 8 ตัว 3 คำ 1 ความหมาย เข้าใจคิดเนอะ ผมว่ารู้แบบนี้แล้วเราน่าจะเอามาใช้ประโยชน์กัน เช่นสมมติว่าจะบอกรักแฟน แต่ไม่ค่อยมีเวลาคุย อาจจะติดธุระอยู่หรือว่าไม่สะดวก ก็ SMS ไปโดยพิมพ์ไปว่า 831 หรืออาจจะประยุกต์ใช้กับคำอื่นก็ยังได้เช่น I THINKING OF YOU ก็ 14 4 1 เป็นต้น แต่ก่อนเอาไปใช้นัดแนะกันก่อนก็ดี กันงง จะเสียความโรแมนติกไป อิอิ

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Future Of The U. S. Dollar

วันก่อนเขียนถึงบทความเรื่องโอกาส"ทอง"จริงๆ เหตุผลหลัก ๆ ที่ผู้เขียนเค้ายกมาก็คือ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ผิดทาง และท่านให้คำแนะนำว่าควรลงทุนในทองคำ วันนี้ได้เจอ website http://futureofdollar.com น่าสนใจมาก ๆ คือ เค้าไม่ได้บังคับให้เชื่อ แต่แนะนำว่าถ้าเชื่อให้ป้องกันอย่างไร เช่น เปลี่ยนไปถือเงินสกุลอื่น ซื้อโลหะมีค่า สินค้า Commodities แต่อย่าซื้อพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา  แล้วถ้าไม่เชื่อให้ทำอย่างไร มีบทความของคนมีชื่อเสียงต่าง ๆ มาให้เหตุผลว่า เพราะอะไรเค้าเหล่านั้นถึงเชื่อหรือไม่เชื่อ ลองเข้าไปสำรวจดูนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อ่านไว้เผื่อถูกเวนคืน!

วันนี้ก๊อบบทความของอ.โสภณมาอ่านครับ ยังมีอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ คลิ๊กเช้าไปอ่านเพิ่มเติมกันได้ครับ ที่ thaiappraisal.org


อ่านไว้เผื่อถูกเวนคืน!
Make Money, November 2010, p. 87-88
          เมื่อเอ่ยถึงการเวนคืน ประชาชนคงนึกถึงความโชคร้ายเพราะเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงไม่มีใครอยากประสบกับตัวเอง แต่การพัฒนาประเทศก็จำเป็นต้องมีการเวนคืนเพื่อปรับปรุงการใช้ที่ดินใหม่ ทำไมในประเทศที่พัฒนาแล้วการเวนคืนทำได้ง่าย แต่ของไทยทำได้ยาก ทำให้การพัฒนาประเทศทำได้ช้าและขีดความสามารถในการแข่งขันตกต่ำลงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ในความจริง เราสามารถที่จะจัดการเวนคืนได้อย่าง “บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น” กับทุกคนได้
ไม่ควรเอาราคาประเมินทุนทรัพย์มาใช้ 
          การเวนคืนเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเพราะที่ผ่านมาเรามักจ่ายค่าทดแทนกันตามราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการ ซึ่งมักจะต่ำและไม่สอดคล้องกับราคาซื้อขายจริงในท้องตลาด แม้ในปัจจุบันนี้ การเวนคืนส่วนมากจะอ้างอิงราคาตลาดเป็นสำคัญ แต่จากภาพ “ฝันร้าย” ในอดีต ยังตาม “หลอกหลอน” ทำให้ใครก็ตามที่มีโอกาส “โดน” เวนคืน ย่อมจะใจหายอยู่ดี ซ้ำยังทำให้การแก้ปัญหาดูสับสนขึ้นอีก
          เราควรเข้าใจว่า ราคาประเมินทุนทรัพย์ของทางราชการได้รับการจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเสียภาษีในระหว่างการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นสำคัญ  ประกอบกับทางราชการจัดทำราคาดังกล่าวทุก 4 ปี ในขณะที่สถานการณ์ราคาที่ดินในท้องตลาดเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ ราคาประเมินทางราชการจึงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาตลาด
เวนคืนคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ 
          การเวนคืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะการพัฒนาความเจริญต่างๆ จำเป็นต้องมีการตัดถนน สร้างทางด่วน บ่อบำบัดน้ำเสีย สนามบิน คลองประปา และคลองชลประทาน ฯลฯ โดยรัฐบาลทำการการเวนคืนเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
          ในประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 (พ.ศ.2443 เป็นต้นมา) เป็นต้นมา มีการเวนคืนบ้านเรือน ย่านการค้า โรงงาน โรงนา ฯลฯ มากมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐบาลก็ได้ออกพระราชบัญญัติการเวนคืนเพื่อปกป้องสิทธิและช่วยเหลือผู้ถูกเวนคืน และได้มีการแก้ไขให้ สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง ดูรายละเอียดได้จากเอกสารของ National Highway Institute <1>
บางกรณีต้องจ่ายสูงกว่าราคาตลาด 
          หลักสำคัญของการเวนคืนก็คือ ทางราชการต้องจ่ายค่าทดแทนไม่ต่ำกว่าราคาตลาด การบังคับเอาที่ดินไปจากประชาชนผู้ครอบครองโดยจ่ายค่าทดแทนต่ำ ถือเป็นการละเมิด (สิทธิมนุษยชน) และสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม อันจะก่อให้เกิดปัญหาตั้งแต่การดื้อแพ่ง การประท้วง ความไม่สงบในบ้านเมือง โครงการที่พึงดำเนินการหลังจากการเวนคืนก็จะล่าช้าและเสียหาย
          ในบางกรณีทางราชการยังอาจต้องจ่ายค่าทดแทนสูงกว่าราคาตลาดของทรัพย์สิน เพราะความสูญเสียของผู้ถูกเวนคืนมีมูลค่ามากกว่านั้น เช่น ทรัพย์สินเป็นสถานที่ประกอบกิจการเปิดร้านค้าหรือบริษัท เมื่อถูกเวน-คืนก็ต้องเปลี่ยนหัวจดหมายใหม่ หรือเกิดความยุ่งยากในการขนส่งสินค้า หาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ความเสียหายเหล่านี้ควรได้รับการชดเชยเช่นกัน
          อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางกรณีที่อย่างไรเสียผู้ถูกเวนคืนก็ไม่ยอมย้ายออกอยู่ดี แม้จะทดแทนให้สมราคาตลาดหรือสูงกว่าเพื่อชดเชยความเสียหายอื่นแล้วก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะความผูกพัน / ปักใจเป็นพิเศษในที่เดิม กรณีการ “ดื้อแพ่ง” จึงถือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมส่วนรวม และเข้าทำนอง “กีดขวางความเจริญ” ของชุมชน สังคมและประเทศชาติอีกต่างหาก
หัวใจอยู่ที่การประเมินค่าทรัพย์สิน
          อย่างไรก็ตาม ในโครงการเวนคืนในกรุงเทพมหานคร กลับปรากฏว่า เจ้าของที่ดินถึงร้อยละ 90 ไม่เห็นด้วยกับราคาค่าทดแทนที่ได้ประเมินไว้ นี่แสดงว่าเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่งอาจได้ราคาค่าทดแทนที่ต่ำเกินจริง แต่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะไม่เข้าใจการประเมินค่าทรัพย์สินหรือการเวนคืนดีพอจึงไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนที่ประเมินได้ แม้อาจเป็นราคาที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
          การเวนคืนที่จะประสบความสำเร็จได้ จึงเริ่มต้นที่การประเมินค่าทดแทนซึ่งอาจมีตั้งแต่ที่ดิน อาคาร ต้นไม้ ไร่นา ฟาร์มปศุสัตว์ โรงงาน โรงนา ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ในเชิงพาณิชย์อื่นๆ ถ้าการประเมินค่าทรัพย์สินดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามูลค่าที่ประเมินได้นั้นเชื่อถือได้ การเวนคืนก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น และประสบความสำเร็จในที่สุด
          แต่ในกรณีประเทศไทย โดยที่วิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินยังไม่ได้รับการควบคุมเพื่อผู้บริโภค เราไม่แน่ใจว่าบริษัทผู้ประเมินเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะอาจถูกว่าจ้างให้ประเมินสูงหรือต่ำเกินจริง หน่วยราชการที่ประเมินค่าทรัพย์สินจะเชื่อถือได้หรือไม่เพราะเป็นราชการก็อาจต้อง “play safe” เป็นพิเศษ ราคาซื้อขายในท้องตลาดที่อ้างอิงกันเชื่อถือได้หรือไม่ เพราะบางทีอาจเป็นการสร้างราคาขึ้นมาเพื่อนำมาอ้างอิงให้ได้ค่าทดแทนที่สูงหรือต่ำเกินจริง
ศึกษาและเผยแพร่ความรู้ต่อเนื่อง
          ประชาชนควรมีโอกาสทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเวนคืน เพื่อทราบถึงความจำเป็น สิทธิและค่าทดแทนที่ตนควรได้รับด้วยความเป็นธรรม การเผยแพร่ความรู้เหล่านี้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เราได้เรียนรู้จากสหรัฐอเมริกาว่า กฎหมายเวนคืนที่ดีต้องแก้ไขได้บ่อยๆ ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง หากระบบกฎหมายของเรายังตายตัว แก้ไขหรือปรับปรุงเพื่อประโยชน์ของมหาชนอย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้ การเวนคืนทรัพย์สินก็อาจกลายเป็นการเพิ่มปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
          เทคนิควิทยาการที่สมควรได้รับการเผยแพร่ ได้แก่ การสร้างแบบจำลองทางสถิติเพื่อการประเมินค่าทรัพย์สิน (CAMA: computer-assisted mass appraisal) ซึ่งผมเป็นคนแรกที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2533 ในงานศึกษาให้กับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ <4> ซึ่งสามารถใช้เพื่อการประเมินค่าทดแทนได้ แต่ประเทศไทยในขณะนั้นก็ไม่มีการศึกษาทางด้านนี้อย่างกว้างขวาง เมื่อปี 2537 ผมจึงได้สร้างแบบจำลอง CAMA ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และจนถึงปี 2540 อ.แคล้ว ทองสม และคณะจึงได้ทดลองสร้างแบบจำลองขึ้นบ้าง <5> และหลังจากนั้นเมื่อผมเป็นอาจารย์สอนวิชาการประเมินค่าทรัพย์สินตั้งแต่รุ่นแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เริ่มมีการสร้างแบบจำลองเพิ่มเติม แต่ก็ไม่ได้เผยแพร่ให้แพร่หลาย ดังนั้นในประเทศไทยจึงควรจัดการประชุมวิชาการกันทุกปีเพื่อพัฒนาเทคนิควิทยาการใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ
แก้ที่ระบบการเมืองของประชาชน 
          การที่ข้าราชการบางส่วนไม่สามารถริเริ่มสร้างสรรค์งานเวนคืนที่เป็นธรรม หรือการที่ระบบกฎหมายของเราเปลี่ยนแปลงช้า ทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนเสียหาย รวมทั้งการที่นักวิชาชีพประเมินค่าทรัพย์สินไม่ได้รับการควบคุมเพื่อผู้บริโภค ก็อาจเป็นเพราะระบอบการเมืองที่ผู้มีอำนาจไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อยากให้ระบบบริหาร ระบบรัฐสภาอ่อนแออยู่เช่นนี้ เพื่อให้คงสถานะของที่ผู้ได้เปรียบในสังคม เจ้าของที่ดินรายใหญ่ จึงจะได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเพราะไม่อยากถูกเวนคืน
          ดังนั้น โดยที่สุดแล้วเราต้องพัฒนาระบบการเมืองที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้ประชาชนมีอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร เพื่อจะได้ผลักดันและบังคับใช้กฎหมายที่ยังประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม การนี้จึงต้องเริ่มต้นที่ประชาชน ทำให้ประชาชนรากหญ้ารู้สิทธิและหน้าที่แห่งตน และให้เห็นว่า ตาสีตาสา กับ ผู้มีลาภยศบารมี ล้วนมีเสียงเดียวเท่ากันในประเทศนี้ ไม่มีใครใหญ่และครอบงำใครได้ รณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าตนนั้นคือเจ้าของประเทศที่แท้จริง สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อประโยชน์แห่งตนและส่วนรวมได้
คิดให้ไกลออกไป 
          ตามกฎหมายเวนคืนปัจจุบัน เราจะเอาที่ดินที่ถูกเวนคืนไปทำประโยชน์ในทางธุรกิจไม่ได้ โดยนัยนี้คงเป็นเพราะกลัวว่าจะเป็นการเอื้อต่อกลุ่มผลประโยชน์ หรือแม้แต่โครงการเมืองใหม่ก็มีอันต้องเป็นหมันเพราะหากเวนคืนที่ดินใครมา จะมาจัดสรรสร้างเป็นเมืองเป็นชุมชนโดยขายเป็นบ้านให้อยู่อาศัยกันไม่ได้
          แต่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และจีน ต่างสามารถเวนคืนที่ดินเอกชนมาพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การมีระบบตรวจสอบที่ดี เพื่อไม่ให้เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องเป็นสำคัญ การที่การพัฒนาประเทศชาติสะดุดเพราะไม่สามารถเวนคืนทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลได้ จะทำให้ความเจริญของประเทศถูกฉุดรั้งและลูกหลานไทยในอนาคตอาจเป็นผู้รับผลร้ายเหล่านี้
         เราจึงควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนในเรื่องการเวนคืนเพื่อให้การพัฒนาประเทศมีความต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืนของประเทศชาติตลอดไป

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เหมือนว่าทองจะลงก่อนแล้วค่อยขึ้น

gold15 

Yesterday's bullish wave was limited around 1408.00, causing a failure for the harmonic formation, which we explained yesterday, showing that the bullish wave should be temporal. The bearishness became in favor once more as we discussed in the weekly report. Now, the metal is attempting to breach the support line from A to C points. Moreover, a new AB=CD pattern is in progress, targeting 88.6% and 100% of CD leg as seen on the provided chart. Consequently, potential downside actions could be witnessed over intraday basis.
The trading range for today is among the key support at 1330.00 and key resistance now at 1430.00 .
The general trend over the short term basis is to the downside, targeting $ 1208.00 per ounce as far as areas of 1485.00 remain intact.

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โอกาส"ทอง" จริงๆ

คุณ Nexttonothing แห่งเว็บ http://www.thaigold.info ได้เขียนบทความเรื่อง โอกาส"ทอง" จริงๆ ซึ่งน่าสนใจมาก ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ค่าเงินดอลล่าร์ การลงทุนในทองคำ ตลาดหุ้น

ในบทความกล่าวถึง ความเป็นเงินที่แท้จริงของทองคำ ซึ่งหมายถึง ทีการใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่จะมีการคิดสร้าง เงินตรา มาใช้ การที่เงินตราที่แต่ละประเทศสร้างขึ้นจะต้องมีทองคำหนุนหลัง และถูกยกเลิกไป เงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกพิมพ์ขึ้นมากมาย แต่ยังมีคนเชื่อถือและใช้เป็นเงินสำรองหนุนค่าเงินของประเทศต่าง ๆ อยู่ เงินดอลลาร์จึงยังคงสถานะเงินสกุลหลักของโลกต่อไปได้ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง สหรัฐตัดสินใจที่จะพิมพ์เงินดอลลาร์จำนวนมหาศาล ที่เรียกกันว่า QE (Quatitative Easing) ประกอบกับมีข่าวว่าจีน ซึ่งถือเงินสกุลดอลาร์จำนวนมาก เริ่มส่งสัญญาณความไม่มั่นใจในค่าเงินดอลลาร์ คุณ Nexttonothing จึงมองว่า วิกฤติศรัทธา ที่มีต่อค่าเงินดอลลาร์ จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ประเทศต่าง ๆ จะทยอยจ่ายเงินดอลลาร์ออก ซื้อทองคำมาสำรองแทน ประเทศสหรัฐอเมริกาจะประสบกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และล่มสลายในที่สุด ราคาทองคำจะสูงขึ้นอย่างมากมาย และนี่คือโอกาส ลองอ่านรายละเอียดและพิจารณาดูครับ คลิ๊กที่นี่เลยครับ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กองทุนทองคำ

กองทุน K-GOLD AYFGOLD BGOLD
ลงทุนขั้นต่ำ 10,000 2,000 1,000
การป้องการความเสี่ยงจากค่าเงิน มี ไม่มี ไม่มี
นโยบายการจ่ายปันผล มี ไม่มี ไม่มี



จากตารางจะเห็นว่ามีเพียงกองทุน K-GOLD เท่านั้นที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และ มีการจ่ายเงินปันผล แต่ยอดขั้นต่ำที่ใช้ในการลงทุนจะสูงกว่าตัวอื่น ๆ และยังต้องคงยอดติดบัญชีไว้ที่ 10,000 บาทด้วย มีบางท่านให้ความเห็นว่า การจ่ายเงินปันผล และ การป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินนั้น ทำให้ NAV ของกองทุนไม่สะท้อนราคา SPOT Gold ทำให้คำนวนยาก แต่ผมกลับเห็นว่าการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ในทิศทางที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่านั้นมีประโยชน์ ลองคิดดุว่าถ้าเราลงทุน 10,000 บาท กสิกรเอาเงินบาทไปแลกเป็นดอลล่าร์ ใน rate 30บาท/$ จะได้ 333.33$ เพื่อลงทุนใน กองทุน SPDR สมมติว่ากำไรสัก 10% เท่ากับเรามียอด 366.67$ สมมติว่าค่าเงินแข็งมาเป็นที่ 25บาท/$ โดยที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยง เงินที่เราได้กลับคืนคือ 366.67*25= 9,166.67 บาท อันนี้เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขจะเป็นอย่างนี้จริง ๆ ส่วนการจ่ายเงินปันผลนั้นก็ทำให้ NAV ลดลงมาตามเงินที่จ่ายปันผลเท่านั้น ถ้าไม่ได้ใช้เงินทำอะไรก็ซื้อหล่วยลงทุนกลับเข้าไปใหม่ได้ สำหรับคนที่ซื้อลงทุนระยะยาวไม่ได้ซื้อๆขายๆ ก็จะได้มีเงินแบ่งจากผลกำไรออกมาบ้างเท่านั้นเองครับ



ที่มา 

***ความเห็นส่วนตัวของคนที่มีความรู้น้อยนะครับอย่าเชื่อถือ



วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

PFFUND : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค
MONTRI : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ 101 มนตรี สโตร์เรจ
MSPF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบมีกรรมสิทธิ์ เมอร์เคียว สมุย
QHOP : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ ฮอสพิทอลลิตี้
QHPF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ เฮ้าส์
SPF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย
SSPF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ศาลาแอทสาทร
BKKCP : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกอก
TCIF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์
TFUND : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน
TIF1 : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1
TLOGIS : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทีพาร์คโลจิสติคส์
TU-PF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที ยู โดม เรสซิเดนท์เชียลคอมเพล็กซ์
UOBAPF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ยูโอบี อะพาร์ทเมนท์หนึ่ง
CPNRF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท
URBNPF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เออร์บานา
GOLDPF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลด์
FUTUREPF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค
LUXF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่
M-STOR : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-สแตรทิจิกสโตเรจฟันด์
MJLF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์
MNIT : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี
MNIT2 : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี 2
MNRF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์
CTARAF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือฯ

เท่าที่สำรวจดู ผมชอบ MNIT : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอ็มเอฟซี-นิชดาธานี ที่สุดเพราะผลตอบแทนสูง กองทุนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(freehold) และมีสภาพคล่องพอสมควร รองลงมาก็เป็น PFFUND : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ MNRF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ ส่วนถ้าเน้นในแง่สภาพคล่องก็ต้อง CPNRF : กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท แต่ว่าราคาสูงหน่อย ผลตอบแทนก็เลยหย่อนไปนิดหนึ่งครับ

(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหาครับ)



วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เราควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ชิมิ

มีการพูดกันถึงการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอด กล่าวหาวัยรุ่นว่าเป็นพวกที่ทำให้ภาษาวิบัติ เพราะชอบสรรหาคำพูด หรือศัพท์แปลก ๆ มาใช้กัน เกี่ยวกับเื่องนี้เคยได้ยิน พี่ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค พูดว่า การใช้ภาษาเฉพาะในอินเทอร์เน็ต ถือว่าเป็นโลกของเค้า พวกเราผู้ใหญ่ี่ที่บังเอิญเค้าไปพบก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นลกของเค้า ทำนองว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ผมค่อนข้างเห็นด้วยนะ คือถ้าต้องการพิมพ์ศัพท์แสลง ศัพท์วัยรุ่นก็ให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ควรจะรู้ว่า เมื่อถึงคราวที่จะพิมพ์อะไรที่เป็นทางการหน่อยก็ควรพิมพ์ให้ถูกต้อง คำไหนไม่แน่ใจก็หาข้อมูลหน่อย เดี๋ยวนี้อินเทอร์เน็ตติดอยู่กับมือ มันไม่ได้ยากเลย สิ่งที่ควรกังวลน่าจะเป็นการที่ คนต้องการพิมพ์ให้ถูก แต่พิมพ์ผิดมากกว่า ที่ผมอ่านพบบ่อย ๆ เช่น

  • แตะบอล ซึ่งควรเป็น เตะบอล
  • ไม่มีหลอก ซึ่งควรเป็น ไม่มีหรอก
  • หน้าจะดี ซึ่งคงหมายถึง น่าจะดี
การพิมพ์ผิดที่ไม่น่าจะให้อภัยเลย คือ การพิมพ์ผิดในเว็บข่าว การใช้ภาษาในการโฆษณาทางธุรกิจ เพราะมันหมายถึงภาพลักษณ์ขององค์กร ดังนั้นควรมีการตรวจแล้วตรวจอีกให้แน่ใจก่อนใช้งาน


วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ถอดเปลือก Federal Reserve และระบบธนาคารกลาง(ลวง)โลก

ที่มา : http://www.goldhips.com/
ขอบคุณคุณจิมมี่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ถอดเปลือก Federal Reserve และระบบธนาคารกลาง(ลวง)โลก

หลายวันก่อนมีโอกาสได้คลิกเข้าไปดูเวบที่มีการโพสต์เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐบ้างครับ มีเรื่องนึงที่น่าสนใจมาก แต่คนรู้กลับมีน้อย นั่นก็คือ "ทองคำสำรอง 8,000 ตัน" ของสหรัฐ ผมจะเขียนเรื่องนี้ในอีกมุมมองหนึ่งซึ่งคุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่สิ่งนี้อาจจะทำให้คุณเกิดมุมมองใหม่ แล้วเห็นอะไรชัดเจนขึ้นครับ ผมอ่านบทความของนักวิชาการหลายๆท่านที่เขียนถึง fundamental หรือจะเรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน แต่ผมจะเรียกง่ายๆ ว่า "ใส้ใน" ของสหรัฐก็เแล้วกันครับ


หนึ่งในความเชื่อมั่นที่โลกใบนี้มีต่อสหรัฐก็คือ ทองคำสำรอง 8,000 ตัน ที่สหรัฐ "ไม่เคย" อ้างว่าถือครองอยู่ แต่ทั่วโลกกลับยึดถือตัวเลขนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกครับ แต่.......


ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์การกำเนิดของ Federal Reserve หรือ ธนาคารกลางสหรัฐ ในปี 1912-1913 และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมาจนถึง ปี 1928-1932 คือช่วงปีที่เกิด The Great Depression เลยไปจนถึงอีกช่วงหนึ่งคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 ในด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้เข้าถึงข้อมูลบางอย่างซึ่งทั้งหมดคือเรื่องเดียวกันและต่อเนื่องกันครับคือ


ทองคำจำนวน 8,000 ตันนี้ "อาจจะ" ยังอยู่ในสหรัฐ แต่ความจริงคือ เจ้าของ "ไม่ใช่" รัฐบาลสหรัฐหรือประเทศอเมริกาครับ


หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ความเป็นมหาอำนาจของโลกถูกเคลื่อนมายังประเทศสหรัฐ โดยกลุ่มทุนเดิมคือกลุ่มนายธนาคารสากล หรือ International Banker ที่มีฐานอยู่ในประเทศอังกฤษและยุโรปเกือบทั้งหมดครับ จนกระทั่งในช่วงคริสมาสของปี 1913 สหรัฐผ่านกฏหมาย Federal Reserve Act ก็คือการจัดตั้ง Federal Reserve, CIA และ IRS ในคราเดียว องค์กรทั้ง 3 นี้ถูกจัดตั้งขึ้นมา โดยการยัดเยียดจากกลุ่มนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้น ประวัติศาสตร์ในช่วงนี้คงพอจะทราบกันดีครับจากที่ผมเขียนไปแล้วครั้งหนึ่ง นานพอสมควรครับ


หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกา เข้มแข็ง และยิ่งใหญ่ในทุกๆ ด้านครับ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การคลัง และเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก แต่หลังจากการจัดตั้ง Federal Reserve ขึ้นมาเป็น "กาฝาก" ในระบบการเงินและเศรษฐกิจแล้ว "หายนะ" ทั้งหลายก็เริ่มก่อตัวขึ้นครับ เพราะจุดประสงค์จริงๆ ของนายธนาคารสัญชาติยุโรปเหล่านั้นก็คือ การเข้ายึดครองระบบเศรษฐกิจ การเงิน และประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด


พวกเค้าทำสำเร็จครับ โดยการควบคุมระบบการเงินการธนาคารซึ่งเปรียบได้กับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประเทศอเมริกาโดยรวม โดยมีการควบคุมปริมาณเงินและดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ และด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของสหรัฐและของโลกนั่นก็คือ "The Great Depression" ซึ่งทำให้สหรัฐอยู่ในสภาวะล้มละลายทางงบประมาณและการคลัง ในสภาพเดียวกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ครับ (แต่ทองคำสำรองยังมีอยู่ในมือ ณ ขณะนั้น) เช่นเดียวกัน การที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้ต้องกู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลเพื่ออัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หรือที่ถูกเรียกว่า " The New Deal " คำถามคือเงินจำนวนมหาศาลเหล่านั้นมากจากไหน ในขณะที่สหรัฐเองเป็นมหาอำนาจใหม่ และถือครองทองคำมากที่สุดในโลก


คำตอบก็ Federal Reserve นั่นเองครับ การจัดตั้ง Federal Reserve ในทางกฏหมายแล้วไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐ หรือเป็นหน่วยงานของรัฐ เพียงแต่ให้ "บริษัทเอกชน" แห่งนี้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการจัดพิมพ์ธนบัตร กระแสเงินสด และดอกเบี้ย ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดนี้รัฐบาลสหรัฐสามารถที่จะทำเองได้ทั้งหมดเหมือนนาๆ ประเทศ เช่นประเทศไทยเป็นต้น แต่การผ่าน Federal Reserve Act ในครั้งนั้นอย่างที่บอกครับว่าเป็นการ "ยัดเยียด" โดยสิ้นเชิง โดยความร่วมมือระหว่างนายธนาคารข้ามชาติและนักการเมืองที่ถูกกว้านซื้อในสภาคองเกรส

หลังจากการที่ใช้เงินกู้จาก FED แล้ว ก็ต้องใช้คืนเค้าสิครับ ก็คือทองคำทั้งหมดที่สหรัฐนั่นแหละครับ ที่ราคา 35 ดอลล่าต่อออนซ์ และขั้นตอนทั้งหมดก็ถูกควบคุมโดย FED, นักการเมือง และประธานาธิบดีในสมัยนั้น ก็คือ "ทองหมด" ครับ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ที่ไปเอาตัวเลขเหล่านี้มา ยกมาได้ครับ แต่ในความเป็นจริง ทองคำเหล่านี้ ซึ่ง "อุปโลก" ว่ายังมีอยู่ และเก็บอยู่ที่ฟอร์ทน๊อก ไม่ได้มีการ Audit หรือตรวจสอบจากหน่วยงานใดๆ แม้แต่หน่วยงานเดียวของโลกตั้งแต่ ทศวรรษที่ 50 เป็นต้นมา แต่กลับมีทองคำสำรองเก็บไว้จำนวนมหาศาลที่ สำนักงานของ FED สาขานิวยอร์ค ซึ่งก็คงมีคนจำนวนมากที่สงสัยแต่ใครล่ะจะไปถาม นั่นคือประเด็นมากกว่าครับ

หลังจากที่หมดตัวแล้วสหรัฐก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดครับ เพราะครั้งที่แล้วที่ร่ำรวยมาได้ก็เพราะสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ "คำตอบ" ของปัญหาครับ เป็นแบบ Win Win Solution คือทุกฝ่ายได้ประโยชน์ คือสหรัฐก็ได้ทำมาหากินฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสงคราม ฮิตเล่อร์ก็ได้ลุ้นทวงตำแหน่งคืน พวกไซออนนิสแบงค์เกอร์เหล่านี้ก็ได้ปล่อยกู้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยที่กลุ่มธนาคารกลางยุโรปก็คือกลุ่มเดียวกันที่เป็นเจ้าของ FED สนับสนุนเงินทุนให้ฮิตเล่อร์ทั้งหมดในการเคลื่อนไหวในยุโรป เพื่อช่วยฮิตเล่อร์ทวงสิ่งที่พวกเค้าสูญเสียไปในสงครามโลกครั้งที่ 1 คืนมา และนี่ก็คือจุดกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ แต่จะให้เป็นสงครามโลกได้อย่างไหร่ถ้าแค่พรรคนาซีเยอรมันรบกับสหรัฐอเมริกา


ในอีกฟากโลกหนึ่งคือเอเซียแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกโจมตีสหรัฐ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงครับ แต่อะไรที่ทำให้ให้ญี่ปุ่นตัดสินใจบุกสหรัฐ ซึ่งน้อยคนที่จะทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม "ตัวหมัดถึงกล้าลุกไปต่อยกับช้าง" ก็เพราะสหรัฐเจ้าเก่าแทรกซึมและบ่อนทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างย่อยยับก่อนนั่นเองครับ ซึ่งทั้งหมดก็คือแผนการที่ถูกวางไว้ก่อนแล้ว จนปัจจัยต่างๆเหล่านี้ผลักดันให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด


ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวหรือประวัติศาสตร์ ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มต่างๆ และเก็บอยู่ในห้องสมุดที่หาอ่านได้ทั่วไป หรือแม้ในกระทั่งอินเตอร์เน็ตครับ.......


และยังมีโศกนาฏกรรมอีกมากมายที่ก่อขึ้นโดยคนกลุ่มนี้หรือ International Banker ตั้งแต่ปี 1913 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม การลอบสังหารบุคคลสำคัญต่างๆ การล้มอเมริกาในรอบแรกด้วย "หนี้" โครงการสตาวอร์ โครงการอวกาศต่างๆ ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นเพื่อให้สหรัฐ "กู้เงิน" ให้มากที่สุดครับ แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการจ่ายหนี้คืนด้วย "ความเป็นเอกราช" ของสหรัฐทั้งหมด ลองเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเปรียบเทียบหรือเรียงต่อกับสิ่งที่สหรัฐกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ คุณก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นครับ โดยเฉพาะประเด็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของ FED ที่จะทำให้ถึงทางตันในอนาคต


แล้วคุณจะเห็นครับว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาและคนอเมริกัน ไม่ได้มีความหมายหรือมีคุณค่าใดๆ เลย สำหรับกลุ่มทุนระดับโลกเหล่านี้ (ซึ่งเคลมตัวเองว่าเป็น "ยิว" (ปลอม)จากทวีปยุโรป หรือที่เรารู้จักในชื่อ "ไซออนนิส") สำหรับคนอเมริกันนอกจากการมีชีวิตอยู่ หาเงินเพื่อจ่ายภาษี และประสบชะตากรรมในสิ่งที่กำลังจะมาถึง ถ้าคุณเข้าใจในเรื่องราวเหล่านี้แล้วคุณคงจะมองเห็นแล้วนะครับว่า ทำไมผมถึงกล้า "ฟันธง" ว่าประเทศสหรัฐอเมริกาต้อง "ล้ม" ชะตากรรมคนอเมริกันจะเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงไม่ต้องถามผมหรอกครับ เพราะคุณก็คงตอบคำถามเหล่านี้ได้ด้วยตัวคุณเองแล้ว ใช่ไม่ครับ


แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้จบอยู่แค่ในอเมริกาครับ เพราะผลกระทบจะเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ซึนะมิ ที่จะกระแทกใส่ทุกประเทศทั่วโลกอย่างรุนแรง และร้ายแรงกว่าครั้งไหนๆ ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจการเงินโลก และทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร คุณคงจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กับตัวคุณเองครับ


ในขณะที่คุณรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ยังมีคนอีกหลายพันล้านคนครับ ที่ยังคิดว่า อเมริกา "ล้มไม่ได้" เพราะมีทองคำตั้ง 8,000 ตัน คุณลองเอาตัวเลข 8,000 ตันตั้งแล้วคูณด้วยราคาทองคำ ณ ปัจจุบันที่ $1,400 ก็คือ 8,000ตัน x 1,000กิโล x 2.2ออนซ์ = 17,600,000 ออนซ์ x $1400 = $24,640,000,000 หรือ 24.64 Billion


ในขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่ที่ 14 Trillion ณ ปัจจุบัน ซึ่งไม่รวมกับหนี้ผูกพันธ์ในอนาคตที่คาดว่าจะต้องจ่ายแน่นอน หรือที่เรียกกันว่า Unfunded Liability ซึ่งถ้ารวมเข้าไปแล้วก็จะอยู่ 75 Trillion เข้าไปแล้วครับ ซึ่งจะทำให้ตัวเลข 24.64 Billion แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยครับ


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ FED เลือกวิธีปั๊มเงินมาจ่ายหนี้ต่างๆ ซึ่งก็คงเป็นความตั้งใจที่จะทำอย่างนั้น และถ้ามองกลับไปตอน The Great Depression ซึ่งสหรัฐก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากตอนนี้ แต่ ณ วันนี้หนักหนาสาหัสกว่ามากๆ ครับ และถ้าตอนนั้นเค้าหมดตัวแล้วก็เลือกทางออกด้วยการ "ก่อสงคราม" โลกครั้งที่ 2


ในครั้งนี้เค้าจะใช้วิธีไหนแล้วกลุ่มมือที่มองไม่เห็นหรือคือพวกพวกไซออนนิสแบงค์เกอร์ หวังจะใช้ให้สหรัฐทำอะไร คำตอบง่ายๆก็คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ 3 ตัวเท่านั้นครับก็คือ " NWO " นั่นเองครับ

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บอลไทย



ไปอ่านเจอสถิติบอลไทยที่น่าสนใจ เลยวิสาสะ copy ภาพมาให้ดู

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ราคาทองสัปดาห์นี้วิ่งสู่เป้าหมาย 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวจาก http://www.kaohoon.com

วันอังคารที่ 07 ธันวาคม 2010 เวลา 16:13:23 น.

วายแอลจี มองราคาทองสัปดาห์นี้ขยับขึ้นเป้าหมาย 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะจับตามาตรการคุมเงินเฟ้อจีน-แรงขายทำกำไรจากกลุ่มเฮดจ์ฟันด์

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือน พ.ย.ที่ออกมาเพียง 39,000 ตำแหน่ง ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่เหนือความคาดหมายของตลาดอย่างมาก จากเดิมที่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 140,000 ตำแหน่ง ได้สร้างความผิดหวังแก่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมาก ซึ่งตัวเลขที่ออกมาดังกล่าวได้ผลักดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จากที่นักลงทุนคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ให้มุมมองว่าการใช้มาตรการ QE2 อาจมีมูลค่าสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งให้มุมมองที่เป็นลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ยิ่งกระตุ้นให้ทองคำเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง

นอกจากประเด็นดังกล่าวที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวอย่างแข็งแกร่งแล้ว ราคาทองคำยังคงได้รับปัจจัยหนุนเดิมจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย ในขณะที่ล่าสุด มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีลงสองขั้นสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1 พร้อมทั้งให้แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบและปัญหาความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงเปราะบางต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนุนของราคาทองคำที่แข็งแกร่งเช่นกัน ทำให้ทางวายแอลจีมองว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงหนุนราคาทองคำอยู่เช่นนี้จะส่งผลให้การอ่อนตัวลงของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัดและหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นโอกาสที่ราคาทองคำจะไต่ระดับสูงกว่านี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน

นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับมุมมองในสัปดาห์นี้ทางวายแอลจีมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยับขึ้นของราคาทองคำอีกครั้ง ภายหลังข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐข้างต้นได้สร้างความผิดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแก่นักลงทุนทั่วทุกมุมโลก โดยทางวายแอลจีได้ปรับเปลี่ยนมุมมองสู่การไต่ระดับเป้าหมายเป็น 1,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,250 บาท) และ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,480บาท) ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการปรับขึ้นของราคาทองคำที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดซึ่งอาจทำให้ราคาไม่สามารถขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ก็คือมาตรการควบคุมเงินเฟ้อและสภาวะฟองสบู่ของจีนซึ่งล่าสุดเริ่มมีกระแสข่าวว่าทางการจีนอาจมีการปรับดอกเบี้ยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าวแต่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากทางการจีนมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจริงอาจส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนค่าลงได้ นอกจากประเด็นของจีนแล้วนักลงทุนยังต้องระวังแรงขายทำกำไรของนักลงทุนกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ที่มักจะมีการเทขายทำกำไรออกมาช่วงปิดไตรมาสหรือช่วงสิ้นปีเพื่อนำผลกำไรนั้นไปสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนในปีต่อไป

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาบริเวณแนวรับ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (19,900 บาท) หรือ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์(19,500บาท) ทั้งนี้หากราคาหลุดแนวรับ 1,380 ดออลาร์ต่อออนซ์แนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อทันทีสำหรับนักลงทุนที่ยังถือครองทองคำอยู่แนะนำรอขายบริเวณเป้าหมายข้างต้น

เรื่องของบัตรประชาชนอีกที

วาระครม.30พ.ย.2553 น่าสนใจ เช่น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เสนอ ความคืบหน้าการแก้ปัญหาบัตรประจำตัวประชาชนเอนก ประสงค์ หรือบัตรสมาทการ์ด โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า จะแก้กฎกระทรวงมหาดไทยในส่วนของรูปแบบบัตรประชาชนสมาทการ์ดที่ขัดกับรูปแบบ ที่กระทรวงไอซีทีสั่งผลิตแล้ว 26 ล้านใบ ให้ตรงกับบัตรประชาชนสมาทการ์ดที่ผลิตออกมา ให้สามารถจ่ายให้
ประชาชนได้ทันที

แก้กฎกระทรวงให้ตรงกับบัตรที่จะผลิตออกมา ฮ่า ฮ่า ฮ่า


คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ



ที่มา posttoday

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 สัญญาณ 'โสด' ตลอดกาล

สัญญาณ 10 อย่างที่กำลังบ่งบอกว่า คุณอาจจะต้องอยู่เป็นโสดตลอดกาล

มาดูกันว่า นิสัย 10 แบบ ที่กำลังบอกคุณว่า คุณอาจจะต้องการความโสด หรืออาจจะต้องอยู่เป็นโสด ตลอดไปนะถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ !

1. คุณไม่มีวี่แววว่าจะได้ออกเดท ไม่ว่าจะเป็นวันวาเลนไทน์ หรือวันพิเศษวันไหน ๆ คุณต้องคอยโทรหาเพื่อนโสดของคุณ ไปดวดเหล้า หรือแม้แต่นั่งดูหนังเรื่องเศร้าอยู่คนเดียว

2. ที่ผ่านมา ไม่มีแม้แต่ชายมาเหลียวตามอง ตั้งแต่ประถมถึงมัธยมก็จมอยู่กับโรงเรียนหญิงล้วน พอจบมาก็อยู่แต่กะเพื่อนสาว สุด เริ่ด เชิด หยิ่ง มองผู้ชายที่ผ่านเข้ามาเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง จนกาลเวลามันทำพิษ อายุยิ่งมากขึ้น ก็สายไปเสียแล้วกับการเรียกสายตาจากผู้ชาย

3. คุณเป็นพวกแปลกแยก มีความสุขกับการอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไร หรืองานอะไร ฉันขอทำคนเดียว และมักจะประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเองไปซะทุกเรื่อง

4. คุณไม่สนแบบแผนของสังคม ชอบความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะตด เรอ หรือกินแบบมูมมาม แม้แต่งัดเครื่องสำอางมาแต่งหน้ากลางห้าง หรือแคะขี้มูก แล้วผู้ชายหน้าไหนจะกล้าเข้าไปจีบล่ะคะ

5. คุณติด sex toy เป็นชีวิตจิตใจ ชีวิตนี้ไม่ขอพึ่งของจริง เพราะฉันมีสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว

6. คุณเป็นคนไม่กล้าเสี่ยงกับชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเห็นบทเรียนต่าง ๆ ของความรักจากคนรอบข้าง อย่างเช่น แต่งแล้วหย่า ภรรยามีชู้ สามีนอกใจ ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นปมในความนึกคิดของคุณ จนอดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง

7. ผู้คนมองว่าคุณเป็นเลสเบี้ยน แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็ยังกล้าจีบทอม อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่คบทอมหรือเลสเบี้ยนจนออกหน้า ก็ยังมีลุ้นว่าชายหนุ่มจะมาแอบปิ๊ง

8. คุณยึดติดแมกกาซีน หรือบทความ จนกระทั่งหนังสือเกี่ยวกับความรัก หรือปัญหาของความรักมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเทคนิค หรือเคล็ดลับการหาคู่ แต่ส่วนใหญ่คุณมักสนใจแต่กับข้อดีข้อเสีย ของการใช้ชีวิตคู่ มองไปทางไหนเห็นแต่จุดด้อยของผู้ชาย ไม่ว่าตอนอยู่บนลิฟท์ เพียงเห็นสายตาชายหนุ่มคนข้าง ๆ จ้องมองคุณอยู่ ท่าคาราเต้คิกด้วยขายาว ๆ ของคุณ ก็ปรากฏอยู่บนลำคอเขาแล้ว

9. ไม่มั่นใจในตัวเอง ขลาดที่จะอยู่ใกล้ ๆ ผู้ชาย ตัดสินใจออกเดทกับหนุ่มคนแรกในชีวิต ก็ทำเสียแผน แทนที่จะตามเขา ไปดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่เดินห้าง คุณกลับบอกเขาว่า ไปเยี่ยมคุณย่าฉันเถอะ…

10. คุณมองผู้ชายในแง่ลบ ตอนยังเด็กคุณมักฝันถึงเจ้าชายที่เพียบพร้อม และตั้งใจว่าโตขึ้นคุณจะพบกับชายหนุ่มคนนั้น แต่เมื่อวันและเวลาเลยผ่าน หนุ่มที่พบเจอกลับไม่ได้แค่เสี้ยวของเจ้าชายคนนั้น แต่ก็ยังไม่อดฝัน เลยพาลมองผู้ชายที่เข้ามาป้วนเปี้ยน เป็นเพียงผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง

Source : http://www.voicetv.co.th/content/25190/10สัญญาณโสดตลอดกาล

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27

ตกลงโชว์รถ หรือ โชว์อะไรกันแน่เนี่ย



ภาพโดย...ทีมภาพโพสต์ทูเดย์

เปิดฉากแล้วสำหรับ มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก” ที่ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2553

http://www.posttoday.com

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีใครอยู่เป็นอมตะ

ฉินชื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้)ทรงสร้างสุสานกองทัพทหารดินเผาขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์เอง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและสถาปัตยกรรมโบราณของจีน และศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จักรพรรดิจีนทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์จะมีความใฝ่ฝันสูงสุดอยู่ 2 ประการคือ 1. ยาอายุวัฒนะ ถ้าหากพระองค์ยังเสาะแสวงหาไม่ได้ สิ่งที่พระองค์จะต้องทำก็คือ 2. การสร้างมหาสุสานขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร เพื่อเป็นที่ประทับชั่วกาลนาน
ชาวจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นมี 2 วิญญาณ วิญญาณแรกคือ โป (Po) ซึ่งจะมาพร้อมกับการเกิดของทารก อีกวิญญาณหนึ่งเรียกว่า ฮั่น (Han) เป็นวิญญาณที่สวรรค์ส่งมารวมกับวิญญาณแรกพร้อมกันตั้งแต่เกิด และเมื่อเจ้าของร่างตายลง วิญญาณแรกหรือโปจะคงอยู่ในร่างนั้น ส่วนฮั่นจะออกจากร่างกลับคืนสู่สวรรค์ไป ถ้าผู้ตายไม่ได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณี โปจะอยู่อย่างไม่มีความสุข เที่ยวเร่ร่อนกลายเป็น กุย (Gui) หรือปีศาจอันชั่วร้าย ชาวจีนทุกคนจึงต้องได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อถึงแก่กรรม โดยจะถูกบรรจุร่างไว้ภายในสุสานตามฐานะของผู้ตาย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงโปรด ฯ ให้สร้างสุสานของพระองค์ทันทีตามโบราณราชประเพณี และอีกสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยเป็นพิเศษก็คือ ทรงมีพระราชบัญชาให้ นักพรตสีฝู่ นำตัวเด็กหญิงและเด็กชายพรหมจรรย์นับพันคน ลงเรือเดินทะเล เดินทางไปทางตะวันออกเพื่อแสวงหาเกาะเผิงไหล เกาะฟางเจ้า และเกาะอิ๋งโจว ทรงเชื่อว่าเป็นดินแดนหวงห้ามของมนุษย์ เนื่องจากเป็นที่พำนักของเซียนที่จะมอบยาอายุวัฒนะให้พระองค์ทรงมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ทว่าตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ข่าวคราวและชะตากรรมของคณะเดินทางที่พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจเสี่ยงตายให้นั้น ไม่เคยได้ยินถึงพระกรรณของพระองค์เลยแม้แต่น้อย

ที่มา http://th.wikipedia.org

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เอแบคโพลล์ เผยผลสำรวจปชช.ส่วนใหญ่ 58.8% เห็นว่าสถานการณ์ศก. แย่ลง ร้อยละ 62.6 ไม่มีเงินเก็บออม

ดร.อุดม หงส์ชาติกุล ผู้อำนวยการโครงการ ABAC Consumer Index บัณฑิตวิทยาลัยบริหารธุรกิจ และนายกสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ (Social Innovation Management and Business Analysis, ABAC – SIMBA) และเป็นนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ โครงการดัชนีผู้บริโภคประจำไตรมาสที่ 4/2553 (ABAC Consumer Index: ACI) กรณีศึกษาตัวอย่างผู้บริโภคระดับครัวเรือน อายุ 15-60 ปี จำนวน 2,159 ตัวอย่าง จาก 12 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ชลบุรี นครราชสีมา อุดรธานี กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต และสงขลา ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน–2 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์


ดร. อุดม กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถามถึงค่าใช้จ่ายในสินค้าหรือบริการที่ประชาชนได้จับจ่ายใช้สอยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับของกิน อาหาร (รวมถึงร้านอาหาร) นั้น อยู่ที่ 4,037.42-4,322.96 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่าย แฟชั่น เครื่องแต่งกาย อยู่ที่ 1,168.17–1,382.85 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายสุขภาพ/เกี่ยวกับความงาม เช่น สปา นวด คลินิกรักษาผิวหนัง อยู่ที่ 94.32–151.44 บาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบันเทิงและสันทนาการ เช่น ดูคอนเสิร์ต ดูภาพยนตร์ ค่าบริการสถานที่เล่นกีฬา อยู่ที่ 96.23 –158.53 บาท ค่าใช้จ่ายของใช้อุปโภค เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน อยู่ที่ 1,021.71–1,134.95 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่ที่ 39.11– 95.95 บาทต่อเดือน ทั้งนี้เมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือน ประมาณ 5,696.09–6,086.74 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือน ตุลาคม - ธันวาคมของปี 52 พบว่า ตัวอย่างเกินครึ่ง หรือร้อยละ 58.8 คิดว่าแย่ลง ร้อยละ 30.0 คิดว่าทรงตัว ในขณะที่ร้อยละ 11.2 คิดว่าดีขึ้น และเมื่อสอบถามความคิดเห็นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าตัวอย่างร้อยละ 41.6 คิดว่าแย่ลงร้อยละ 38.0 คิดว่าทรงตัว ในขณะที่ร้อยละ 20.4 คิดว่าดีขึ้น

เมื่อถามถึงรายได้ในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคมของปี 52 พบว่า ตัวอย่างเกือบครึ่งหรือร้อยละ 49.8 คิดว่าแย่ลง ร้อยละ 41.9 คิดว่าทรงตัว ในขณะที่ร้อยละ 8.3 คิดว่าดีขึ้น และเมื่อสอบถามถึงรายได้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าตัวอย่างร้อยละ 48.6 คิดว่าทรงตัว ร้อยละ 18.8 คิดว่าดีขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 32.6 คิดว่าแย่ลง

สำหรับความเหมาะสมที่จะซื้อสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สินค้าคงทนอื่นๆ (ไม่รวมถึงบ้านและรถยนต์) ในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่างเกินครึ่ง หรือร้อยละ 59.0 ระบุไม่เหมาะสม ร้อยละ 35.8 ระบุไม่ทราบ/ยังไม่แน่ใจ ในขณะที่ร้อยละ 5.2 ระบุเหมาะสม และเมื่อถามถึงการมีแผนที่จะซื้อสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ สินค้าคงทนอื่นๆ (ไม่รวมถึงบ้านและรถยนต์) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ตัวอย่างประมาณสองในสาม หรือร้อยละ 63.5 ระบุไม่มีแผน ร้อยละ 26.1 ระบุไม่ทราบ/ยังไม่แน่ใจ ในขณะที่ร้อยละ 10.4 ระบุมีแผนที่จะซื้อ

ที่น่าพิจารณาคือตัวอย่างร้อยละ 62.6 ไม่มีเงินเก็บออม และ ร้อยละ 37.4 มีเงินเก็บออม โดยมีรูปแบบการเก็บออม ใน 3 อันดับแรกคือ การออมเงินฝากกับธนาคาร รองลงมาคือ การทำประกัน และ ซื้อสลากออมสิน ตามลำดับ


ผลสำรวจยังพบว่า เมื่อถามถึงการวางแผนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในอีก 3 เดือนข้างหน้านั้น พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 81.7 ไม่ได้วางแผนไปเที่ยวต่างจังหวัด และร้อยละ 97.5 ไม่ได้วางแผนไปเที่ยวต่างประเทศ
และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนความสุขของกลุ่มผู้บริโภคต่อการทำงานและการประกอบอาชีพ ในช่วงเดือนกรกฎาคม และเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มผู้บริโภคมีค่าคะแนนความสุขโดยเฉลี่ยจาก 6.82 คะแนน มาอยู่ที่ 7.39 จากคะแนนเต็ม 10


ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 61.9 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 38.1 เป็นเพศชาย ตัวอย่างร้อยละ 14.9 ระบุอายุ 15-24 ปี ร้อยละ 28.6 อายุ 25-34 ปี ร้อยละ 26.5 อายุ 35-44 ปี ร้อยละ 30.0 ระบุอายุ 45-60 ปี ตัวอย่างร้อยละ 52.7 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/เทียบเท่า หรือต่ำกว่า ร้อยละ 24.3 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช. ร้อยละ 7.8 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปวส./อนุปริญญา หรือเทียบเท่า และร้อยละ 15.2 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 4.1 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 11.9 ระบุอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน ร้อยละ 42.1 ระบุอาชีพธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ร้อยละ 4.5 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 25.8 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 7.8 ระบุเป็น แม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ในขณะที่ร้อยละ 3.8 ระบุว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายได้ส่วนตัวต่อเดือนพบว่าร้อยละ 77.4 ระบุรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ร้อยละ 22.6 ระบุรายได้มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ตามลำดับ

ที่มา : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1291351696&grpid=00&catid=&subcatid=

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

call center ของ TrueMove

ในการติดต่อแจ้งปัญหาการใช้งานกับทรูมูฟเป็นเรื่องยากลำบากมาก เพราะโดยปกติ call center ของที่อื่นเวลากด 0 ก็จะโอนไปที่พนักงาน แต่ของทรูมูฟจะแจ้งว่าเรากดผิด ต้องมีโชคจริง ๆ ถึงจะกดถูกต้องและได้คุยกับพนักงาน ดังนั้นเลยอยากจะแนะนำช่องทางติดต่อผ่านทาง website โดย click ไปที่ http://www.truemove.com/th/contact.htm เผื่อว่าจะได้เรื่อง ลองดูนะครับ

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ขั้นตอนการย้ายค่าย เบอร์เดิม มาเป็น Dtac

โดยสามารถย้ายได้ทั้งลูกค้าแบบรายเดือน และเติมเงิน สามารถใช้บริการคงสิทธิเลขหมายได้ หากใครสนใจอยากจะลองย้ายมาใช้งานดีแทคก็เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.dtac.co.th/mnp/process.html โดยทางดีแทคกำลังเร่งจัดเตรียมความพร้อม เพื่อเปิดดำเนินการให้แก่ผู้บริโภคให้โดยเร็วที่สุด คุณสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ www.dtac.co.th หรือ 1678 dtac call center สำหรับขั้นตอนการย้ายจากเครือข่ายอื่นมาใช้ ดีแทคง่ายๆ เพียงแค่ทำตาม 5 ขั้นตอนด้านล่าง
  1. เตรียมเอกสารดังนี้
      สำหรับบุคคลธรรมดา
    • สำเนาบัตรประชาชนหรือบัตรประจำตัวข้าราชการหรือใบขับขี่ หรือบัตรประจำตัวนักเรียนนิสิต
    • นักศึกษาที่ออกโดยสถาบันการศึกษาที่ได้รับอนุญาต หรือบัตรประจำตัวแรงงานต่างด้าว หรือบัตรอื่นๆ
    • ที่มีภาพถ่ายซึ่งออกให้โดยหน่วยงานของราชการหรือหนังสือเดินทาง พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
    • กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมายื่นคำขอแทน แนบหนังสือมอบอำนาจต้นฉบับ และสำเนาบัตรประจำตัว
    • ประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
      สำหรับนิติบุคคล
    • สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล ที่ออกไม่เกิน 3 เดือน พร้อมประทับตรา (ถ้ามี) ทุกหน้า พร้อมลงนาม
    • รับรองสำเนาถูกต้อง
    • สำเนาบัตรประชาชนของผู้มีอำนาจลงนาม พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
    • กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมายื่นคำขอแทน แนบหนังสือมอบอำนาจต้นฉบับ และ
    • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
  2. ยื่นเอกสารทั้งหมดพร้อมกรอกแบบคำขอโอนย้ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ที่สำนักงานบริการลูกค้าทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ สำนักงานบริการดีแทค เซ็นเตอร์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งจากดีแทค
  3. รับซิมการ์ด พร้อมชำระค่าบริการ 99 บาท/เลขหมาย(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
  4. รอรับผลการขอโอนย้ายเครือข่ายทาง SMS
  5. ปลี่ยนเป็นซิมใหม่และเริ่มใช้งานตามปกติ (กรณีกระบวนการโอนย้ายเครือข่ายสำเร็จ ในช่วงเวลา 4.00-7.00น. ของวันทำการที่ 3 นับจากวันที่ยื่นเอกสาร)
    ระยะเวลาที่ใช้ในการโอนย้ายเครือข่ายขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการยื่นเอกสารและจำนวนคำขอโอนย้าย