วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

บลจ. กสิกรไทย โชว์ฟอร์มบริหารกองทุนหุ้น เตรียมจ่ายปันผล 3 กองทุน ร่วม 264 ล้านบาท



บลจ. กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนหุ้น 3 กองทุน เชื่อตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน แนะผู้ลงทุนเก็บกองทุนหุ้นปันผล
เข้าพอร์ตช่วยลดผลตอบแทนผันผวน


นายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท ให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่
31 มกราคม 2554 จำนวน 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE)
จ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินการตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2554 ในอัตรา 0.24 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดรวงข้าว 2 (RKF2) และ กองทุนเปิดรวงข้าว 4 (RKF4) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2553 ถึง
31 กรกฎาคม 2554 ในอัตรา 1.50 บาทต่อหน่วย และ 0.95 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ
โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554

“การจ่ายเงินปันผลครั้งนี้มีมูลค่าประมาณ 263.82 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10.84 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของทั้ง 3 กองทุนโดยกองทุน RKF2 และ RKF4 เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น Dividend yield ในรอบ 6 เดือนประมาณ 12.03%และ 12.51% โดยลำดับ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาของทั้ง 2 กองทุนอยู่ที่ประมาณ 48% - 49% ขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 38.41% สำหรับกองทุน K-VALUE ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง ในปี 2553 มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบปีบัญชีแรกไปแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ 0.67 บาทต่อหน่วย Dividend Yield สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2553 รวมแล้วอยู่ที่ 15.13% ด้านผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ประมาณ 42.66% เอาชนะผลตอบแทนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไป 4.25%” นายประเสริฐกล่าว




สำหรับแนวโน้มการลงทุนในหุ้น นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากการปรับ Portfolio
การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติซึ่งเริ่มมีความเห็นว่า เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกามีการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น ทำให้มีการ
โยกย้ายเงินลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น

ประกอบกับในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยและตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดอื่น จึงเป็นโอกาสการทำกำไรไปด้วย
พร้อมกัน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่ได้เริ่มต้นปีในระดับที่สูงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ และพืชผลมีราคาสูงจาก
ภัยธรรมชาติในปีที่ผ่านมา ทำให้มีความหวั่นเกรงถึงผลกระทบของเงินเฟ้อต่ออัตราดอกเบี้ยในประเทศตลาดเกิดใหม่
ส่งผลให้มีการลด การลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทยลง นอกจากนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมายังเกิดวิกฤต
ทางการเมืองในประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการส่งน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ตลาดมีความ ผันผวนพอสมควร
อย่างไรก็ตาม เมื่อการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติสิ้นสุดลงและการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับสมดุลแล้ว
เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะมีโอกาสกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีต่อไป

“เรามองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนท่ามกลางความผันผวนจากผลกระทบภายนอก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี
ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่การเติบโตของผลประกอบการบริษัทในตลาดเฉลี่ยในปี 2554 คาดการณ์
ว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 15-17 อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะนี้ ผู้ลงทุนยังต้องใช้จังหวะในการเข้าซื้อขาย
และ ลดความผันผวนของผลตอบแทน ซึ่งการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง เช่น การลงทุนในกองทุน K-VALUE
ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ หรืออาจเลือกจับจังหวะ Trade ทำกำไรระยะสั้นเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนตามการ
เคลื่อนไหวของตลาด” นายประเสริฐกล่าวในที่สุด


การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น: