วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "

ถ้าเมื่อไหร่ที่ "ความเชื่อมั่น" ในเงินดอลล่า "สิ้นสลาย" ลง ก็เท่ากับเงินดอลล่าเหล่านั้นจะกลายเป็นกระดาษในพริบตา เรามาดูสถานการณ์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นความเชื่อมั่นต่อเงินสกุลนี้ครับ ว่าอยู่ในสภาพไหนแล้ว

1.เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนี้โดยรวมของประเทศหรือ Outstanding Debt อยู่ที่ 13.989 Trillion หรือคิดเป็น 90% ของ GDP และจะแตะ 14 Trillion ในเดือนมกราคมของปี 2011

2.เป็นหนี้ที่เกิดจากงบประมาณหรือภาระผูกพันธ์ต่อคนอเมริกันผ่านทางโครงการ Welfare ต่างๆ หรือที่เรียกว่า Unfunded Liability ของรัฐบาล อีกอย่างน้อย 75 Trillion ที่จะต้องจ่ายออกอย่างต่อเนื่องในอนาคต ให้กับผู้ใช้สิทธิ์ที่รัฐบาลเกิบเงินเข้ากองทุนไว้แล้ว

3.สภาวะการว่างงาน U6 ที่พุ่งขึ้นสูงแตะระดับ 17% และสูงถึง 22-25% ในบางรัฐ

4.อันเนื่องมาจากการ Outsourcing หรือการย้ายฐานการผลิตไปที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทีมีค่าแรงงานที่ถูกกว่า ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็น Emerging Market หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีราคาถูกกว่า แต่สิ่งนี้กลับเป็นผลสะท้อนกลับไปที่ตลาดแรงงานของสหรัฐอย่างรุนแรงเช่นกัน จนคำว่า "Made in USA" แทบจะหาไม่ได้บนชั้นสินค้าที่วางขายอยู่ในสหรัฐ

5. ตัวเลขของคนอเมริกันที่กำลังฝากท้องไว้กับโปรแกรมคูปองอาหาร หรือ Food Stamp ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแตะที่ละดับ 42 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของคนอเมริกันฝากชีวิตไว้กับโปรแกรม Food Stamp นี้

6.Extend Unemployment Benefit หรือการขยายเงินชดเชยการว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี ให้กับผู้ใช้สิทธิ์เรียกร้องเงินส่วนนี้ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาของเงินชดเชยลงแล้ว จาก 99 สัปดาห์ หรือที่เรียกกันว่า "กลุ่ม 99ers" (ไนตี้ไนเนอร์) และมีที่ท่าว่าคองเกรสจะตัดลดเงินส่วนนี้ในที่สุด

7.Poverty Line หรือเส้นแบ่งระดับความยากจนของสหรัฐลดต่ำลงเรื่อยๆ แต่ฐานกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก็คือคนอเมริกันเข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มมากขึ้น

8.สถาบันการเงินที่ล้มไปแล้วกว่า 300 แห่ง และมีอีก 920 แห่ง(อย่างไม่เป็นทางการ)ที่กำลังเข้าสู่สภาวะล้มละลาย

9.ราคาอสังหาริมทรัพย์เฉลี่ยที่ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 50 % และยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องเพราะดีมานด์ที่ขาดหายไปในตลาด เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่พุ่งขึ้นสูง

10.อัตราการฟ้องยึดบ้านและที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นสูงสุดต่อเนื่องติดกันในรอบหลายสิบปี

11.การล้มละลายของ Commercial Real Estate Lender หรือสถาบันการเงินขนาดยักษื ที่ปล่อยกู้ให้กลุ่มค้าปลีกหรือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อภาคธนาคาร ที่ยังถูกซุกไว้ใต้พรมมาจนถึงวันนี้

12.รัฐที่ล้มเหลว หรือรัฐต่างๆ ที่เข้าสู่สภาวะล้มละลายในทางงบประมาณแล้ว 10-12 รัฐ และอีก 40 รัฐที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันในระดับความรุนแรงที่ต่างกันไป

13.ฟองสบู่ตลาดหุ่นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นถึง 70% ในระยะเวลาเพียง 2 ปี ด้วยการ "Bailed Out" หรือเงินอุ้ม ที่มาจากฟากรัฐบาล โดยที่เงินดังกล่าวเกือบทั้งหมดยังคงติดค้างเป็น "กับดักสภาพคล่อง" อยู่ในสถาบันการเงินเหล่านั้น โดยไม่มีการปล่อยกู้ต่อลงมาสู่ตลาดด้วยความกังวลปัญหาของหนี้เสียและการรักษาทุนสำรองเงินฝากของธนาคาร หรือ Tier ต่างๆ

14.งบประมาณขาดดุลย์ของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากงบประมาณรายจ่ายต่างๆที่พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการสงครามและการทหารซึ่งถูกใช้ไปแล้ว 60-65% ของงบประมาณรัฐบาลในภาพรวม

15.ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐชนิด 10 และ 30 ปี พุ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรชนิด 10 ปี พุ่งขึ้นสุงสุดในรอบ 20 ปี นับจากปี 1988 เป็นต้นมา อยู่ที่ระดับ 3.5xx

16.บริษัทจัดอันดับเครดิตจ้องจะหั่นเครดิคเรตติ้งของสหรัฐลง เนื่องจากปัญหาหนี้สินที่กำลังจะพุ่งขึ้นสู่ระดับ 90% ของ GDP

17.การทำ Quantitative Easing หรือการผ่องถ่ายเชิงปริมาณ หรือจะเรียกให้ตรงๆ เลยก็คือ การพิมพ์เงิน ออกมาใช้จ่ายนั่นแหละครับ และคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานคงจะประมาณ เดือน 4-5 ของปี 2011 FED คงจะต้องเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ หรือ QE3 นั่นเองครับ

18.อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปกปิดของรัฐบาลสหรัฐ และมีทิศทางที่จะนำไปสู่ Hyper Inflation หรือสภาวะเงินเฟ้อยิ่งยวด ที่อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012-2015 แต่ดูเหมือนอาจจะเร็วกว่านั้นครับ คือเริ่ม Kick In หรือเริ่มต้นประมาณไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 2011 เป็นอย่างเร็วครับ

ทั้งหมดนี้เป็น Under Lying Diseases หรือเชื้อร้ายที่กัดกินสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ คำถามคือ "ความเชื่อมั่น" ของเงินดอลล่าสหรัฐอยู่ที่ตรงไหน แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในทางลึก การทหารและกฏหมายรองรับทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้วครับ เพื่อรองรับการ Collapse หรือการล้มของเศรษฐกิจสหรัฐ และเงินดอลล่า นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน นักวิเคราะห์ หรือแม้แต่โบร๊คเกอร์ในตลาดโลหะมีค่า ที่ตรงไปมาคือไม่เอียงข้างหรือฝักไฝ่รัฐบาล จะพูดในลักษณะฟันธง ตรงกันว่า "Collapse is Imminent" หรือการ "ล้ม" คงจะหลีกเลี่ยงได้ยากครับ

หลายๆ ท่านคงรู้จัก Jim Sinclair หรือ Mr.Gold ที่เรียกว่าเป็นเซียนมือเก๋าคนหนึ่งในตลาด Precious Metal ของสหรัฐ ทุกวันนี้ไม่ว่าแกจะเดินทางไปไหน แกจะต้องพก "เหรียญทองคำ" ติดตัวไว้ไม่ต่ำกว่า 20 เหรียญ โดยแกให้เหตุผล โดยแกคิดว่า "Flash Collapse" หรือการล้มตัวแบบฉับพลันของสหรัฐจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเงินกระดาษบัตรเครดิตทุกอย่างก็จะหยุดทำงานในทันที ซึ่งผมอ่านแล้วก็คิดในใจว่า แกเป็นขนาดนั้นเลยหรือ แต่ในความเป็นจริงแกน่ะ "ถูก" ครับ คนยิ่งรู้มากก็ยิ่งกลัวยิ่งระวังมาก ซึ่งถ้าผมอยู่ในสหรัฐตอนนี้ ก็คงนึกภาพตัวเองไม่ออกครับ ว่าจะต้องเตรียมอะไรขนาดไหน เพราะคนที่อยู่วงในที่มีข้อมูลลึกๆเค้าเตรียมสำรองอาหารและน้ำดื่มไว้อย่างน้อย 6 เดือน เตรียมทุกอย่างในลักษณะ HIGH ALERT กันแล้วครับ จึงจะฝากไปถึงเพื่อนๆผู้อ่านในสหรัฐ แคนาดาและกลุ่มสหภาพยุโรปครับว่า

******* PREPARE NOW *******


อ่านฉบับเต็มได้ที่ http://jimmysiri.blogspot.com/2010/12/phase-iipart-5-of-1.html

ไม่มีความคิดเห็น: