วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เดาทองเช้าวันศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2010


Gold investment
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) ซึ่งเป็นการร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ วันนี้จึงเป็นวันที่ 3 ที่แดงติดต่อกัน จากเหตุผลที่ว่า ภายหลังจากสำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) กล่าวว่า ตลาดทองคำมีขนาดเล็กและผันผวนเกินกว่าที่จีนจะนำเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนเป็นช่องทางหลัก นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ยังทำให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง จึงทำให้ทองล่วงทันตาเห็นเลยค่ะ 
***เหตุผลที่ทองยังคงไม่ลงลึก เพราะ เมื่อคืน ***กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ซื้อเพิ่มขึ้น 7.61 ตัน รวมเป็น 1306.14 ตัน จึงมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนต่อฝั่งเอเชียวันนี้มาก 
***สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 7.70 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,222.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,216.20 - 1,236.00 ดอลลาร์ 
……………………………………….. 

กราฟรายวัน มีรายละเอียดดังนี้ ค่ะ 

1. MACD ทั้งเส้นสัญญาณ และแท่งฮิสโตรกรม มีสัญญาณเป็นบวก ก็จริง 
แต่อารมณ์ตลาดเป็น ลบ ต่อเนื่องจากเมื่อวานมาก เพราะมีแต่คนขายทำกำไร 
เพราะ ค่าMACD คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน บอกว่า 

MACD (12,26,9) = มีค่าเป็นบวก คือ แท่งฮิสโตรแกรม 10.734 และ เส้นสัญญาณ เท่ากับ 11.8421 
การที่เส้นค่าเฉลี่ยแนวโน้มมีค่าเฉลี่ยได้ระดับนี้แสดงถึงพลังที่มาก แต่ยังไม่มากพอที่จะแสดงว่า ทองจะมีแนวโน้มที่จะทะยานขึ้นต่อไปได้อีกอย่างรวดเร็วในระยะอันใกล้นี้ 

2.Sto. เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางราคาทองคำ ปัจจุบันได้ปรับตัวโค้งลงแล้วหลังจากมีการเทขายทำกำไรได้ไปตลอดทั้งวันเมื่อวานและเมื่อคืนนี้ 

*วันนี้ค่าSto. (8,3,3) เส้น Main สีเขียวลดลง คือ % K = 47.9952 

เส้นสีแดงคือ เส้น single สีแดง คือ % D = 60.5419 

แปลความได้ว่า แนวโน้มราคาทองคำได้ขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว จึงมีการขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสองเส้นได้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้ปรับฐานเป็นขาลงในระยะสั้นๆ แล้วคงทะยานขึ้นต่อ 

3.Rsi. ((Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น หรือความแข็งแกร่งของคลื่น เมื่อเทียบกับตัวมันเองในการวัดราคาที่วิ่งขึ้นและวิ่งลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา 
*วันนี้ค่า RSI. (13) สีเขียว = 54.229 (เมื่อวาน 59.5301 ) ลดลง 

และ RSI. (5) สีม่วง = 46.5419 (เมื่อวาน 57.6378) ลดลง 

แสดงว่า แรงเทขายในตลาดระยะสั้นค่าเฉลี่ย 5 วัน พลังของคลื่นแข็งแกร่งอยู่ในระดับกลาง มีกำลังซื้อต่ออัตราส่วนการขายเป็น 1 : 1 ปัจจุบันจึงอ่านกราฟได้ว่าสามารถออกได้สองด้านทั้งขึ้นและลงเท่าๆกัน 
และในระยะปานกลาง 13 วัน ก็ยังบ่งชี้ว่า มีพลังขายมากเท่ากับการซื้อ ในอัตรา 1:1 

4.ADX. คือ ดัชนีทิศทางเฉลี่ย ใช้สำหรับดูแนวโน้มตลาดหรือทิศทางของเทรน ว่า ขึ้นหรือลง และADX มีให้วิเคราะห์ทั้งหมด 3 เส้น คือ 

เส้น ADX(14) = 18.6642 (เมื่อวาน 22.9712) ลดลง 

+DI = 18.9090 (เมื่อวาน 21.8180) ลดลง 

และ –DI = 18.5624 (เมื่อวาน 16.8798)ลดลง 

และ 1) ADX >40 เทรนด์แรงมาก 2) ADX > 20 มีเทรนด์ลง 3) ADX <20 Sideway 

การอ่านค่า ADX คือ วันนี้เทรนน่าจะยังคงไซด์เวย์ Down ค่ะเพราะเส้นสีเขียวได้ตัดลงแล้ว นั่นคือ ยังคงเป็นการปรับฐานและมีเทรนลง 


และจะ มีการเปลี่ยนทิศแน่ถ้า เส้นสีฟ้ามากกว่า 40 และ +DI คือ สีเขียว อยู่เหนือ –DI สีแดง มากกว่านี้ แสดงว่าแนวโน้มขึ้นแย่กว่าเมื่อวานมากวันนี้ค่า ADX. ไม่เป็นบวกกับตลาด 

5. ค่า Forcast osc 30 M 
เส้นสัณญาณสีฟ้ามีค่า = -0.9412 (เมื่อวาน -0.6796) ติดลบมากว่าเมื่อวานอีก 

และ เส้นสัญญาณสีแดง= .1.163 (เมื่อวาน -0.5050 ) จะเห็นว่า การเทขายราคาทองเมื่อคืน ทำให้มีเทรนลง จึงมีค่าติดลบแล้ว คงต้องรอ Volume สักระยะถึงจะมีค่าเป็นบวก 

6. ค่า Ichimoky ยังคงมีเทรน Positive กับราคาทองคำ เพราะ แท่งเทียนอยู่เหนือ เมฆหมอกทั้งหมดค่ะ ส่วนเส้นสัญญาณทั้งหมด มีหลายเส้น ขอไม่อธิบายในรายละเอียดนะคะ 

ดังนั้น วันนี้น่าจะเป็นลบ ถ้าพิจารณาตาม indy. ที่กล่าวมาในข้างต้น 

***กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ซื้อเพิ่มขึ้น 7.61 ตัน รวมเป็น 1306.14 ตัน 

สรุปวันนี้ 
• วันนี้ราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เป็นวันที่สาม ตามกราฟรายวันที่เกิดแท่งแดง และอารมณ์ตลาดน่าจะเป็นลบ แต่ก็เป็นบวกว่า กองทุน SPDR Gold Trust ยังไม่เทขายทองเลย 
***เลือกเอาเองค่ะ ว่าจะกอดแบบแน่นๆ หรือขายต่อ อาจารย์มาทำหน้าที่วิเคราะห์ให้เท่านั้น ส่วนการตัดสินใจอย่างรอบคอบต้องตัดสินใจเอง 


แนวต้านและแนวรับประจำวัน : 

*****แนวต้าน Fibo.ที่ 50.00=1223.781230.97 
*****แนวรับ Fibo.ที่ 61.8 = 1217.01 
Fibo.ที่ 1000.00 = 1195.20 หลุดจากนี้ ไม่ดีแล้วและอาจเบรก สำหรับขาขึ้นครั้งนี้ได้ 

โชคดีทุกท่าน 
ดร.จ๋า 
(เวลา 09.40 น.) 
……………………………………………………… 

. 
เหตุผลที่ทองลงในเวลากลางคืนวันพฤหัสที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา : มีดังนี้ 
ข่าว ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำปิดลบ $7.70 หลังจีนส่งสัญญาณเมินลงทุนตลาดทอง 
ประจำวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 ….. 07:27:53 น. 
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 18.351 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.20 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงเดือนก.ค.ดีดขึ้น 1.25 เซนต์ ปิดที่ 2.8625 ดอลลาร์/ปอนด์ 
ส่วนสัญญาพลาตินั่มส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 1,536.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 2.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ปิดที่ 449.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 5.95 ดอลลาร์ 
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจาก SAFE ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่มีมูลค่าสูงถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า ตลาดทองคำมีขนาดเล็กเกินไป อีกทั้งสภาพคล่องไม่ไหลลื่น และมีความผันผวนมากเกินกว่าที่จีนจะนำเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนเป็นช่องทางหลัก 
นอกจากนี้ การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากทั้งจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ยังทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง โดยยอดส่งออกเดือนพ.ค.ของจีนขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ภาคเอกชนของออสเตรเลียมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,900 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ช่วยหนุนตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย และเศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสแรกขยายตัว 5.0% ต่อปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.2% 

..................................................................... 
เหตุผลที่ทองลงในวันพุธที่ 9 มิ .ย.และใน เวลากลางวันวันพฤหัสที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้วดาวโจนส์ปิดพุ่งดาวโจนส์ปิดพุ่งดาวโจนส์ปิดพุ่ง : มีดังนี้ 
พฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2553 07:24:03 น. 
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นในด้านบวกต่อเศรษฐกิจของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง รวมถึงการที่เบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวแม้อัตราว่างงานยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 15.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,229.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,231.10 - 1,242.60 ดอลลาร์ 
ขณะที่สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,534.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 13.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 455.25 ดอลลาร์/ออนซ์ 
ส่วนสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 28.80 เซนต์ ปิดที่ 18.189 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 7.05 เซนต์ ปิดที่ 2.85 ดอลลาร์/อออนซ์ 
นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำอย่างหนักเพราะมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งและสามารถต้านทานวิกฤตการณ์การเงินในยุโรปได้ จึงพากันลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง โดยการเทขายเกิดขึ้นหลังจากเบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแค่ในระดับปานกลางเท่านั้น และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ใน "ระยะฟื้นตัว" แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ ที่รวมถึงอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง และตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบางก็ตาม 
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำแท่ง 1,298.530 ตันเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 12.171 ตันจากระดับ 1,286.359 ตันของวันที่ 4 มิ.ย. 


…………………………………………………………… 

ข่าวที่ทำให้ดาวโจนส์ปิดพุ่งมีดังนี้ 
: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 273.28 จุด รับตัวเลขว่างงานสหรัฐลดลง-ยอดส่งออกจีนแข็งแกร่ง 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) โดยดัชนีดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุด ขานรับตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับตัวลดลง และยอดส่งออกที่แข็งแกร่งของจีน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพุธ เพราะได้แรงหนุนจากผู้บริหารบริษัทบีพีที่ออกมายืนยันว่า สถานะทางการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่ง แม้บริษัทต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกก็ตาม 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้น 273.28 จุด หรือ 2.76% ปิดที่ 10,172.53 จุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 31.15 จุด หรือ 2.95% ปิดที่ 1,086.84 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 59.86 จุด หรือ 2.77% ปิดที่ 2,218.71 จุด 
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 9.16 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น 
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มที่สดใส โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
เศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคการส่งออก โดยนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพุธ หลังจากผู้บริหารออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า สถานะการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ บีพียังมีความสามารถและมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก ขณะเดียวกันสินทรัพย์ของบีพียังคงมีมูลค่าที่ดีและน่าดึงดูด และบริษัทมีแหล่งสำรองน้ำมันดิบกว่า 18 ล้านบาร์เรล และ 6.3 หมื่นล้านบาร์เรลที่บีพีค้นพบในช่วงเวลาปลายปี 2552 
ทั้งนี้ หุ้นบีพีปิดพุ่ง 12.3% และหุ้นอนาดาร์โค ปิโตรเลียม ปิดบวก 12.4% 
ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่ดิ่งลง 2.2% หลังจากมีรายงานว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) จะดำเนินการตรวจสอบรายงานการเงินของโกลด์แมน แซคส์ อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ SEC ยื่นฟ้อง โกลด์แมน แซคส์ ในข้อหาพยายามปกปิดข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับตราสารหนี้ "ABACUS 2007-AC1" ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ 
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย. 
........................................................................................ 
***ข่าวที่ทำให้ค่าเงินยูโรขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ… 

* ยูโรพุ่งหลังธนาคารกลางยุโรปตรึงดอกเบี้ย-การค้าจีนไม่ถูกกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป: 
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:48:46 น. 
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ และยังเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ ยูโรยังได้แรงหนุนจากจีนที่รายงานยอดส่งออกแข็งแกร่งและยืนยันว่าวิกฤตการเงินในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าของจีน 
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.21% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.2130 ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.1985 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 1.22% แตะที่ 1.4711 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4533 ดอลลาร์ 
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.260 เยน แต่ร่วงลง 0.55% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1417 ฟรังค์ จากระดับ 1.1480 ฟรังค์ 
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 2.72% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.8503 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.8278 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนดพุ่งขึ้น 2.49% สู่ระดับ 0.6872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6705 ดอลลาร์สหรัฐ 
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางของสกุลเงินยูโรมากขึ้น เมื่อนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
โดยการแสดงความคิดเห็นของนายหลี่มีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ในการประชุมเมื่อเย็นวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยอีซีบียังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรและจัดหาวงเงินกู้ฉุกเฉินระยะ 3 เดือนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้ 
นอกจากนี้ อีซีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อีซีบียอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าไม่ค่อยดีนัก 
ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารกลางยังได้ตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด 
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า แบงก์ชาติอังกฤษจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกระทั่งปีหน้า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยตรึงอยู่ที่ระดับ 0.5% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย. 

………………………………………………………………………………. 
***ข่าวที่ทำให้น้ำมันขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ… 

* ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดบวก $1.10 หลังข้อมูลชี้เศรษฐกิจโลกแข็งแกร่ง 
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:04:21 น. 
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและดีมานด์พลังงานมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หลังจากนานาประเทศรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส รวมถึงจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงของสหรัฐ 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.48 ดอลลาร์/บาร์เรล 
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.32 เซนต์ ปิดที่ 2.0328 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ดีดขึ้น 3.08 เซนต์ ปิดที่ 2.0582 ดอลลาร์/แกลลอน 
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.29 ดอลลาร์/บาร์เรล 
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากทั้งจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ภาคเอกชนของออสเตรเลียมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,900 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ช่วยหนุนตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย 
ส่วนสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงในช่วงไตรมาสแรกของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 5.0% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าขยายตัว 4.9% และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.2% 
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อนายนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานสากล (ไอเอีเอ) ที่ระบุว่า ดีมาน์น้ำมันในตลาดโลกปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 1.68 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 2% เป็น 86.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 84.76 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่สุดของโลก ได้ช่วยหนุนให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรลจากคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว 
ไออีเอระบุว่า ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงมาจากตลาดเกิดใหม่มากที่สุด โดยเฉพาะความต้องการจากจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก 
นอกจากนี้ ไออีเอยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีระเบิดและจมลงจนทำให้น้ำมันปริมาณมหาศาลไหลทะลักลงสู่อ่าวเม็กซิโกว่า อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอุปทานน้ำมัน เนื่องจากอาจมีการควบคุมการขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเลให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันลดลง 
................................................................... 


(ขอขอบพระคุณข่าวจาก อินโฟเควสท์ ) 


credit : http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=61201#61201

ไม่มีความคิดเห็น: