วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จัดสวนอย่างไร....ให้ถูกฮวงจุ้ย




ลองมาดูกันสิว่า ในทางฮวงจุ้ยพูดถึงการจัดสวนเอาไว้อย่างไร

1. ตำแหน่งสวนควรอยู่ทางทิศตะวันออก ด้วยเหตุผลที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศที่พระอาทิตย์
ขึ้น แสงแดดในยามเช้าจะช่วยส่งเสริมต้นไม้ให้มีความงอกงามและเขียวสด เพราะเป็นแสงที่ไม่แรงจน
เกินไป

2. สวนต้องครบองค์ประกอบของธาตุทั้ง 5 คือ น้ำ ไม้ ไฟ ดิน และทอง สวนที่ดีจะต้อง
ประกอบไปด้วย ต้นไม้(ธาตุไม้) น้ำตก น้ำพุ อ่างบัว บ่อปลา(ธาตุน้ำ) แสงแดดส่องถึง(ธาตุไฟ) มีดิน
ที่สมบูรณ์(ธาตุดิน) และที่สำคัญจะต้องมีการตกแต่งสวนอย่างสวยงาม(ธาตุทอง

3. น้ำตกในสวนจะต้องหันหน้าน้ำตกเข้าบ้านเสมอ "หน้าน้ำตกจะต้องหันเข้าบ้าน ห้ามหันออก
นอกบ้าน" เพราะการหันออกนอกบ้าน จะหมายถึงการเงินไหลออก เพราะน้ำแทนความหมายของโชค
ลาภการเงิน นั่นเอง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่จะต้องจำไว้ในการแต่งสวน

4. บ่อน้ำ สระน้ำ รูปทรงต้องไม่ร้าย การขุดบ่อน้ำ หรือสระน้ำในสวนนั้น สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง
จะเป็นเรื่องของรูปทรงของสระนั้น ในทางฮวงจุ้ยจะให้ใช้รูปทรงที่ไม่ทำร้ายคนในบ้าน เช่น รูปทรงที่
เป็นสี่เหลี่ยม รูปทรงขนมเปียกปูน สามเหลี่ยม เป็นต้น ควรใช้รูปทรงโค้งมน หรือวงกลม จะถือว่าดีที่
สุด

5. ก้อนหิน การนำก้อนหินมาตกแต่งสวนจะต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะก้อนหินใหญ่ เพราะ
ในทางฮวงจุ้ย "ก้อนหิน" จะหมายถึงอุปสรรค การเลือกก้อนหินในการแต่งสวนจะต้องเลือกก้อนที่มี
ลักษณะกลมมน ห้ามเป็นเหลี่ยมคม หรือมีมุมแหลม ก้อนหินที่มีรูก็จะเป็นลักษณะต้องห้ามเช่นกัน
ตำแหน่งในการวางส่วนใหญ่จะวางบริเวณมุมบ้าน ห้ามวางไว้หน้าบ้าน หรือบริเวณที่ตรงกับประตูบ้าน

6. บ้านเล็ก ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่ บ้านที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่จำกัดในการจัดสวน อย่างบ้าน
ทาวน์เฮ้าส์ ห้ามเอาต้นไม้ใหญ่มาปลูก เพราะจะก่อผลเสียมากกว่าผลดี สิ่งที่มองเห็นได้ชัดก็คือ ต้นไม้
ใหญ่จะทำลายฐานบ้าน และกิ่งก้านของต้นไม้ยังทำลายตัวบ้านอีกด้วย

7. หลีกเลี่ยงไม้หนามในการแต่งสวน เรื่องต้นไม้ที่มีหนามแหลม เพราะหนามที่แหลมคมจะ
ส่งผลกระทบต่อคนในบ้านได้
credit : http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=17&ID=982

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เดาทองเช้าวันศุกร์ ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2010


Gold investment
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) ซึ่งเป็นการร่วงลงติดต่อกัน 2 วันทำการ วันนี้จึงเป็นวันที่ 3 ที่แดงติดต่อกัน จากเหตุผลที่ว่า ภายหลังจากสำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) กล่าวว่า ตลาดทองคำมีขนาดเล็กและผันผวนเกินกว่าที่จีนจะนำเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนเป็นช่องทางหลัก นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ยังทำให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง จึงทำให้ทองล่วงทันตาเห็นเลยค่ะ 
***เหตุผลที่ทองยังคงไม่ลงลึก เพราะ เมื่อคืน ***กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ซื้อเพิ่มขึ้น 7.61 ตัน รวมเป็น 1306.14 ตัน จึงมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนต่อฝั่งเอเชียวันนี้มาก 
***สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 7.70 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,222.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,216.20 - 1,236.00 ดอลลาร์ 
……………………………………….. 

กราฟรายวัน มีรายละเอียดดังนี้ ค่ะ 

1. MACD ทั้งเส้นสัญญาณ และแท่งฮิสโตรกรม มีสัญญาณเป็นบวก ก็จริง 
แต่อารมณ์ตลาดเป็น ลบ ต่อเนื่องจากเมื่อวานมาก เพราะมีแต่คนขายทำกำไร 
เพราะ ค่าMACD คือ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หากำลังแนวโน้มของทิศทางว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน บอกว่า 

MACD (12,26,9) = มีค่าเป็นบวก คือ แท่งฮิสโตรแกรม 10.734 และ เส้นสัญญาณ เท่ากับ 11.8421 
การที่เส้นค่าเฉลี่ยแนวโน้มมีค่าเฉลี่ยได้ระดับนี้แสดงถึงพลังที่มาก แต่ยังไม่มากพอที่จะแสดงว่า ทองจะมีแนวโน้มที่จะทะยานขึ้นต่อไปได้อีกอย่างรวดเร็วในระยะอันใกล้นี้ 

2.Sto. เป็นตัววัดแนวโน้มที่ให้ทิศทางราคาทองคำ ปัจจุบันได้ปรับตัวโค้งลงแล้วหลังจากมีการเทขายทำกำไรได้ไปตลอดทั้งวันเมื่อวานและเมื่อคืนนี้ 

*วันนี้ค่าSto. (8,3,3) เส้น Main สีเขียวลดลง คือ % K = 47.9952 

เส้นสีแดงคือ เส้น single สีแดง คือ % D = 60.5419 

แปลความได้ว่า แนวโน้มราคาทองคำได้ขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว จึงมีการขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันสองเส้นได้วิ่งไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้ปรับฐานเป็นขาลงในระยะสั้นๆ แล้วคงทะยานขึ้นต่อ 

3.Rsi. ((Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือวัดพลังของคลื่น หรือความแข็งแกร่งของคลื่น เมื่อเทียบกับตัวมันเองในการวัดราคาที่วิ่งขึ้นและวิ่งลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา 
*วันนี้ค่า RSI. (13) สีเขียว = 54.229 (เมื่อวาน 59.5301 ) ลดลง 

และ RSI. (5) สีม่วง = 46.5419 (เมื่อวาน 57.6378) ลดลง 

แสดงว่า แรงเทขายในตลาดระยะสั้นค่าเฉลี่ย 5 วัน พลังของคลื่นแข็งแกร่งอยู่ในระดับกลาง มีกำลังซื้อต่ออัตราส่วนการขายเป็น 1 : 1 ปัจจุบันจึงอ่านกราฟได้ว่าสามารถออกได้สองด้านทั้งขึ้นและลงเท่าๆกัน 
และในระยะปานกลาง 13 วัน ก็ยังบ่งชี้ว่า มีพลังขายมากเท่ากับการซื้อ ในอัตรา 1:1 

4.ADX. คือ ดัชนีทิศทางเฉลี่ย ใช้สำหรับดูแนวโน้มตลาดหรือทิศทางของเทรน ว่า ขึ้นหรือลง และADX มีให้วิเคราะห์ทั้งหมด 3 เส้น คือ 

เส้น ADX(14) = 18.6642 (เมื่อวาน 22.9712) ลดลง 

+DI = 18.9090 (เมื่อวาน 21.8180) ลดลง 

และ –DI = 18.5624 (เมื่อวาน 16.8798)ลดลง 

และ 1) ADX >40 เทรนด์แรงมาก 2) ADX > 20 มีเทรนด์ลง 3) ADX <20 Sideway 

การอ่านค่า ADX คือ วันนี้เทรนน่าจะยังคงไซด์เวย์ Down ค่ะเพราะเส้นสีเขียวได้ตัดลงแล้ว นั่นคือ ยังคงเป็นการปรับฐานและมีเทรนลง 


และจะ มีการเปลี่ยนทิศแน่ถ้า เส้นสีฟ้ามากกว่า 40 และ +DI คือ สีเขียว อยู่เหนือ –DI สีแดง มากกว่านี้ แสดงว่าแนวโน้มขึ้นแย่กว่าเมื่อวานมากวันนี้ค่า ADX. ไม่เป็นบวกกับตลาด 

5. ค่า Forcast osc 30 M 
เส้นสัณญาณสีฟ้ามีค่า = -0.9412 (เมื่อวาน -0.6796) ติดลบมากว่าเมื่อวานอีก 

และ เส้นสัญญาณสีแดง= .1.163 (เมื่อวาน -0.5050 ) จะเห็นว่า การเทขายราคาทองเมื่อคืน ทำให้มีเทรนลง จึงมีค่าติดลบแล้ว คงต้องรอ Volume สักระยะถึงจะมีค่าเป็นบวก 

6. ค่า Ichimoky ยังคงมีเทรน Positive กับราคาทองคำ เพราะ แท่งเทียนอยู่เหนือ เมฆหมอกทั้งหมดค่ะ ส่วนเส้นสัญญาณทั้งหมด มีหลายเส้น ขอไม่อธิบายในรายละเอียดนะคะ 

ดังนั้น วันนี้น่าจะเป็นลบ ถ้าพิจารณาตาม indy. ที่กล่าวมาในข้างต้น 

***กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ซื้อเพิ่มขึ้น 7.61 ตัน รวมเป็น 1306.14 ตัน 

สรุปวันนี้ 
• วันนี้ราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง เป็นวันที่สาม ตามกราฟรายวันที่เกิดแท่งแดง และอารมณ์ตลาดน่าจะเป็นลบ แต่ก็เป็นบวกว่า กองทุน SPDR Gold Trust ยังไม่เทขายทองเลย 
***เลือกเอาเองค่ะ ว่าจะกอดแบบแน่นๆ หรือขายต่อ อาจารย์มาทำหน้าที่วิเคราะห์ให้เท่านั้น ส่วนการตัดสินใจอย่างรอบคอบต้องตัดสินใจเอง 


แนวต้านและแนวรับประจำวัน : 

*****แนวต้าน Fibo.ที่ 50.00=1223.781230.97 
*****แนวรับ Fibo.ที่ 61.8 = 1217.01 
Fibo.ที่ 1000.00 = 1195.20 หลุดจากนี้ ไม่ดีแล้วและอาจเบรก สำหรับขาขึ้นครั้งนี้ได้ 

โชคดีทุกท่าน 
ดร.จ๋า 
(เวลา 09.40 น.) 
……………………………………………………… 

. 
เหตุผลที่ทองลงในเวลากลางคืนวันพฤหัสที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา : มีดังนี้ 
ข่าว ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองคำปิดลบ $7.70 หลังจีนส่งสัญญาณเมินลงทุนตลาดทอง 
ประจำวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 ….. 07:27:53 น. 
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 18.351 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 16.20 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงเดือนก.ค.ดีดขึ้น 1.25 เซนต์ ปิดที่ 2.8625 ดอลลาร์/ปอนด์ 
ส่วนสัญญาพลาตินั่มส่งมอบเดือนก.ค.ปิดที่ 1,536.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 2.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.ปิดที่ 449.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 5.95 ดอลลาร์ 
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา หลังจาก SAFE ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารจัดการทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่มีมูลค่าสูงถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวว่า ตลาดทองคำมีขนาดเล็กเกินไป อีกทั้งสภาพคล่องไม่ไหลลื่น และมีความผันผวนมากเกินกว่าที่จีนจะนำเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาลงทุนเป็นช่องทางหลัก 
นอกจากนี้ การรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากทั้งจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ยังทำให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง โดยยอดส่งออกเดือนพ.ค.ของจีนขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ภาคเอกชนของออสเตรเลียมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,900 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ช่วยหนุนตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย และเศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสแรกขยายตัว 5.0% ต่อปี มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.2% 

..................................................................... 
เหตุผลที่ทองลงในวันพุธที่ 9 มิ .ย.และใน เวลากลางวันวันพฤหัสที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมาแล้วดาวโจนส์ปิดพุ่งดาวโจนส์ปิดพุ่งดาวโจนส์ปิดพุ่ง : มีดังนี้ 
พฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน 2553 07:24:03 น. 
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นในด้านบวกต่อเศรษฐกิจของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง รวมถึงการที่เบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวแม้อัตราว่างงานยังอยู่ในระดับสูงก็ตาม 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำ COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 15.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,229.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,231.10 - 1,242.60 ดอลลาร์ 
ขณะที่สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 5.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,534.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 13.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 455.25 ดอลลาร์/ออนซ์ 
ส่วนสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 28.80 เซนต์ ปิดที่ 18.189 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนก.ค.ดีดขึ้น 7.05 เซนต์ ปิดที่ 2.85 ดอลลาร์/อออนซ์ 
นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำอย่างหนักเพราะมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มแข็งแกร่งและสามารถต้านทานวิกฤตการณ์การเงินในยุโรปได้ จึงพากันลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดความเสี่ยง โดยการเทขายเกิดขึ้นหลังจากเบอร์นันเก้แสดงความเชื่อมั่นว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแค่ในระดับปานกลางเท่านั้น และเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ใน "ระยะฟื้นตัว" แม้ต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่างๆ ที่รวมถึงอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูง และตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศที่ยังอยู่ในภาวะเปราะบางก็ตาม 
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ถือครองทองคำแท่ง 1,298.530 ตันเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 12.171 ตันจากระดับ 1,286.359 ตันของวันที่ 4 มิ.ย. 


…………………………………………………………… 

ข่าวที่ทำให้ดาวโจนส์ปิดพุ่งมีดังนี้ 
: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 273.28 จุด รับตัวเลขว่างงานสหรัฐลดลง-ยอดส่งออกจีนแข็งแกร่ง 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) โดยดัชนีดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 10,000 จุด ขานรับตัวเลขว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับตัวลดลง และยอดส่งออกที่แข็งแกร่งของจีน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพุธ เพราะได้แรงหนุนจากผู้บริหารบริษัทบีพีที่ออกมายืนยันว่า สถานะทางการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่ง แม้บริษัทต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกก็ตาม 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ทะยานขึ้น 273.28 จุด หรือ 2.76% ปิดที่ 10,172.53 จุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 31.15 จุด หรือ 2.95% ปิดที่ 1,086.84 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 59.86 จุด หรือ 2.77% ปิดที่ 2,218.71 จุด 
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 9.16 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 9.65 พันล้านหุ้น 
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มที่สดใส โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
เศรษฐกิจจีนยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคการส่งออก โดยนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพุธ หลังจากผู้บริหารออกแถลงการณ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า สถานะการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ บีพียังมีความสามารถและมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโก ขณะเดียวกันสินทรัพย์ของบีพียังคงมีมูลค่าที่ดีและน่าดึงดูด และบริษัทมีแหล่งสำรองน้ำมันดิบกว่า 18 ล้านบาร์เรล และ 6.3 หมื่นล้านบาร์เรลที่บีพีค้นพบในช่วงเวลาปลายปี 2552 
ทั้งนี้ หุ้นบีพีปิดพุ่ง 12.3% และหุ้นอนาดาร์โค ปิโตรเลียม ปิดบวก 12.4% 
ส่วนหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่ดิ่งลง 2.2% หลังจากมีรายงานว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) จะดำเนินการตรวจสอบรายงานการเงินของโกลด์แมน แซคส์ อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ SEC ยื่นฟ้อง โกลด์แมน แซคส์ ในข้อหาพยายามปกปิดข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับตราสารหนี้ "ABACUS 2007-AC1" ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนเป็นมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ 
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย. 
........................................................................................ 
***ข่าวที่ทำให้ค่าเงินยูโรขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ… 

* ยูโรพุ่งหลังธนาคารกลางยุโรปตรึงดอกเบี้ย-การค้าจีนไม่ถูกกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรป: 
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:48:46 น. 
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ และยังเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ ยูโรยังได้แรงหนุนจากจีนที่รายงานยอดส่งออกแข็งแกร่งและยืนยันว่าวิกฤตการเงินในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าของจีน 
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 1.21% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 1.2130 ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.1985 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์ดีดตัวขึ้น 1.22% แตะที่ 1.4711 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4533 ดอลลาร์ 
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.260 เยน แต่ร่วงลง 0.55% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.1417 ฟรังค์ จากระดับ 1.1480 ฟรังค์ 
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 2.72% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ 0.8503 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันพุธที่ 0.8278 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนดพุ่งขึ้น 2.49% สู่ระดับ 0.6872 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6705 ดอลลาร์สหรัฐ 
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางของสกุลเงินยูโรมากขึ้น เมื่อนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
โดยการแสดงความคิดเห็นของนายหลี่มีขึ้นหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 1% ในการประชุมเมื่อเย็นวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยอีซีบียังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรและจัดหาวงเงินกู้ฉุกเฉินระยะ 3 เดือนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้ 
นอกจากนี้ อีซีบีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน หรือ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อีซีบียอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนในปีหน้าไม่ค่อยดีนัก 
ค่าเงินปอนด์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกันนี้ ธนาคารกลางยังได้ตัดสินใจที่จะไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติมภายใต้โครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมายของตลาด 
ทั้งนี้ ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า แบงก์ชาติอังกฤษจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกระทั่งปีหน้า หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยตรึงอยู่ที่ระดับ 0.5% มาตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่ทางการสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.และตัวเลขสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย. ขณะที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นต้นเดือนมิ.ย. 

………………………………………………………………………………. 
***ข่าวที่ทำให้น้ำมันขึ้น และต่อมาลงปรับฐาน พร้อมทะยานขึ้นต่อ มีดังนี้ ค่ะ… 

* ภาวะตลาดน้ำมัน NYMEX: น้ำมันดิบปิดบวก $1.10 หลังข้อมูลชี้เศรษฐกิจโลกแข็งแกร่ง 
ศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2553 07:04:21 น. 
สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกและดีมานด์พลังงานมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หลังจากนานาประเทศรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส รวมถึงจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับปัจจัยบวกจากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงของสหรัฐ 
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.48 ดอลลาร์/บาร์เรล 
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2.32 เซนต์ ปิดที่ 2.0328 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.ดีดขึ้น 3.08 เซนต์ ปิดที่ 2.0582 ดอลลาร์/แกลลอน 
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.29 ดอลลาร์/บาร์เรล 
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจากทั้งจีน สหรัฐ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยเมื่อวานนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 456,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวม ร่วงลง 255,000 ราย สู่ระดับ 4.5 ล้านคน 
ขณะที่สำนักงานศุลกากรจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในเดือนพ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่ง 48.5% ขณะที่ยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 48.3% ซึ่งทำให้จีนมียอดเกินดุลการค้าสูงถึง 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ บ่งชี้จีนซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวรวดเร็วสุดในโลก สามารถต้านทานวิกฤตการณ์หนี้สาธารณะในยุโรปได้ 
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ภาคเอกชนของออสเตรเลียมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 26,900 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ช่วยหนุนตัวเลขจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย 
ส่วนสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงในช่วงไตรมาสแรกของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 5.0% ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่าขยายตัว 4.9% และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 4.2% 
นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเมื่อนายนายหลี่ เตากุย ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปยังไม่รุนแรงพอที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อดีมานด์การส่งออกสินค้าของจีนในระยะยาว 
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กดีดตัวขึ้นขานรับรายงานคาดการณ์ของสำนักงานพลังงานสากล (ไอเอีเอ) ที่ระบุว่า ดีมาน์น้ำมันในตลาดโลกปี 2553 จะเพิ่มขึ้น 1.68 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 2% เป็น 86.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากระดับ 84.76 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่สุดของโลก ได้ช่วยหนุนให้การใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรลจากคาดการณ์ในเดือนที่แล้ว 
ไออีเอระบุว่า ความต้องการน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังคงมาจากตลาดเกิดใหม่มากที่สุด โดยเฉพาะความต้องการจากจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก 
นอกจากนี้ ไออีเอยังได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทบีพีระเบิดและจมลงจนทำให้น้ำมันปริมาณมหาศาลไหลทะลักลงสู่อ่าวเม็กซิโกว่า อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนของอุปทานน้ำมัน เนื่องจากอาจมีการควบคุมการขุดเจาะน้ำมันใต้ทะเลให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันลดลง 
................................................................... 


(ขอขอบพระคุณข่าวจาก อินโฟเควสท์ ) 


credit : http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?p=61201#61201

Sand Artist


วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ภาวะตลาดทองคำสัปดาห์แรกเดือนก.พ.



08 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 09:21 น.


ภาวะตลาดทองคำสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 2553 ทองคำตกรุนแรงเหตุนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นค่าเงินยูโร  หันครองเงินดอลล่าร์แทน
สภาพตลาดทองคำในสัปดาห์แรกของเดือนก.พ. 2553 ที่ผ่านมา (วันที่ 1-6 ก.พ.) เปิดตลาดต้นสัปดาห์ดูท่าทางจะสดใสราคาดีดขึ้นในวัน 1,125 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ในช่วงบ่ายวันพุธทำให้เกิดกระแสการช้อนซื้อตามทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกครั้งจากการที่ทองคำตกลงอย่างรุนแรงในคืนวันพุธในตลาด COMEX ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐ และตกต่อในวันพฤหัสบดีอีกประมาณ 48 เหรียญสหรัฐ จนปิดตลาดในคืนวันศุกร์ที่ระดับ 1,066 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
ข่าวที่สำคัญคือการที่ประเทศทางฝั่งยุโรปมีหนี้สาธารณะสูงจนไปสร้างผลกระทบต่อค่าเงินยูโรให้ตกลงและขาดความเชื่อมั่น นักลงทุนจึงหันไปถือครองดอลลาร์สหรัฐในฐานะ Safe Heaven ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร โดยปรับตัวลดลงมากกว่า 300 pip ไปสู่ระดับ 1.3685 เหรียญสหรัฐ/ยูโรโดยประมาณ ผสมกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ออกมาโดยภาพรวมบ่งชี้ไปในทางเศรษฐกิจฟื้นตัว ร่วมกับการที่โอบามาพยายามใช้นโยบายการคลังบีบหรือลดการปล่อยสินเชื่อในภาคการธนาคารทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกิดแรงเทขายทองคำเข้ามาโดยตลอด รวมทั้ง SPDR ในสัปดาห์ที่แล้วก็ขายทองคำมากกว่า 7 ตัน เหลือถือครองประมาณ 1,106 ตันเศษ
วิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคาทองคำมี Technical Rebound ใน 3 วันแรกจาก 1,075 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ไปสู่ระดับ 1,125 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และกลับตกลงมาเกิด New Low ที่ระดับ 1,045 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ในคืนวันศุกร์ก่อนที่จะมี Rebound เล็กน้อยมาปิดที่ระดับ 1066 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ในเชิง Technique ตามที่เราได้กล่าวแล้วว่าถ้าราคาไม่สามารถทะลุแนวต้านที่ระดับ 1,120 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แล้วสามารถยืนได้ ก็จะกลับตกลงมาอย่างรุนแรง แนวโน้มโดยทั่วไปเป็นทิศทางขาลงอย่าง
ชัดเจน โดย Oscillator ทุกตัวเป็นสัญญาณให้ขาย แนวรับสำคัญถัดไปอยู่ที่ระดับ 1,020 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยแนวต้านด้านบนอยู่ที่ระดับ 1,090 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งอาจจะมี Technical Rebound ขึ้นไปได้บ้าง และในเชิงเทคนิคในค่าเงินยูโรเองก็ยังอยู่ในทิศทางขาลงต่อเนื่อง และเกิด New Low เช่นเดียวกันกับทองคำที่เกิด New Low ในช่วง 3 เดือน
ทำกำไรได้อย่างไรถ้าทองคำตก
ในปัจจุบันนักลงทุนในทองคำมีทางเลือกอีกอันหนึ่งที่เรียกว่า Gold Futures ซึ่งท่านสามารถทำกำไรได้ในภาวะขาลง โดยที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องถือ
ครองทองคำไว้ก่อน ซึ่งต่างจากนักลงทุนทองคำแท่งที่จะต้องซื้อก่อนแล้วต้องรอราคาขึ้นถึงจะขายได้ หรือแม้กระทั่งนักลงทุนที่ถือครองทองคำอยู่เมื่อ
ต้นสัปดาห์ก็จะสามารถลดภาวะขาดทุนได้โดยใช้Gold Futures เป็นตัวช่วยที่เรียกว่าการทำ Hedging แต่เรายังพบว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับการลงทุนแบบเดิมและยังไม่ได้ศึกษาถึงโอกาสในการใช้เครื่องมือทางการเงินอันใหม่ในตลาดอนุพันธ์ที่เรียกว่า Gold Futures จึงทำให้เกิดภาวะการขาดทุนอย่างมากในนักลงทุน Gold Futures
โดยสรุปจึงอยากจะแนะนำให้ท่านศึกษาเพิ่มเติมถึงวิธีการวิเคราะห์ราคาทองคำและ Chart |pattern ซึ่งจะดูได้จากระบบ Graph ของราคาทองคำ ซึ่งในเว็บไซต์ www.mtsgold.co.th ก็มีให้ดูเพื่อการศึกษาให้เข้าใจถึงแนวรับแนวต้านที่เกิดขึ้น มันจะเป็นประโยชน์กับท่านอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีเหตุการณ์เหมือนช่วง 2 วันที่ผ่านมา เสียเวลาศึกษาเพียงน้อยนิดจะช่วยรักษาเงินท่านเป็นล้านบาทได้ ซึ่งท่านสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองผ่านระบบ Website ของเรา หรือสัมมนาเพิ่มเติมกับทางบริษัท MTS Gold Futures

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ก.พ.

ตลาดหุ้นไทยวันที่ 4 ก.พ. ส่วนใหญ่ดัชนีอ่อนตัวในแดนลบ ตามแรงเทขายทำกำไรและตามตลาดต่างประเทศที่ร่วงลง โดยระหว่าง วันดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 708.51 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 702.01 จุด จนมาปิดตลาดที่ 702.52 จุด ลดลง 5.13 จุด หรือ 0.72% ซื้อขาย 14,380.59 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 212.42 จุด ลดลง 0.48 จุด ซื้อขาย 186.15 ล้านบาท
   
น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ ผอ.อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่า ในช่วงเช้าดัชนีหุ้นไทยบวกได้บ้างเล็กน้อย จากนั้นเริ่มปรับฐานลง ขณะที่ปริมาณการซื้อขายน้อย เนื่องจากนักลงทุนชะลอลงทุน หลังตลาดหุ้นทั้งยุโรปและภูมิภาคปรับลดลง เป็นผลจากความกังวลเรื่องเสถียรภาพการคลังของกรีซ และโปรตุเกส รวมถึงการที่มูดี้ส์ อาจปรับอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐใหม่
   
แนวโน้มดัชนีน่าจะปรับตัวลงต่อ หากดัชนีดาวโจนส์ปิดลงแรง เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลเรื่องมูดี้ส์ต่อ อีกทั้งดัชนีได้ปรับขึ้นในช่วง 2 วันก่อนหน้ามามากแล้ว รวมถึงเป็นวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์จึงไม่น่าจะถือหุ้นข้ามสัปดาห์ ประเมินแนวรับแรกที่ 700 จุด หากไม่สามารถยืนได้จะมีแนวรับถัดไปที่ 690-695 จุด และแนวต้าน 705-710 จุด กลยุทธ์แนะนำซื้อเก็งกำไรระยะสั้น ๆ ในกลุ่มธนาคาร.



http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=314&contentID=46848

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

คุณรู้หรือไม่ ... เคล็ดไม่ลับบน Google



เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักเว็บเสริชเอ็นจิ้นอันดับ 1 ของโลก อย่าง Google แต่คุณรู้หรือไม่ว่า Google มีดีมากกว่าแค่ใช้ค้นหาเว็บไซต์ มีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ
 
คิดเลขผ่าน Google
 
จะมีใครรู้บ้างว่า google สามารถใช้เป็นเครื่องคิดเลขได้ หากคุณกำลังต้องการใช้เครื่องคิดเลขอย่างเร่งด่วน และอยู่บนหน้าเว็บ www.google.com พอดี ใช้วิธีนี้สิค่ะ เพราะนอกจากการ บวก ลบ คูณ หาร แล้ว ยังสามารถคิดคำนวนแบบเลขยกกำลัง โดยใช้สัญลักษณ์ ^ หรือถอดสแควรูทด้วยคำว่า sqrt หรือจะพิมพ์เป็นตัวอักษรก็ยังได้  เช่น ต้องการทราบ 2 ยกกำลัง 42 ได้คำตอบเท่าไหร่ ให้พิมพ์ 2^42 คลิก Enter Google จะช่วยคำนวนให้
 
 

คำนวนอัตราแลกเปลี่ยนเงิน จาก Google
 
นอกจากจะใช้เป็นเครื่องคิดเลขแล้ว Google ยังสามารถคำนวนอัตราการแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่าง ๆ ได้อีกด้วย ไม่ต้องเข้าเว็บของธนาคารเพื่อดูอัตราแลกเปลี่ยนและมานั่งคิดคำนวนอีกต่อไป เพียงแค่เข้า Google วิธีการก็ง่าย เช่น ต้องการทราบอัตราแลกเปลี่ยน 4,500 บาท แลกได้กี่ US Dollar ให้พิมพ์ 4500 baht in usd กด Enter
 
 
เรื่องความไม่ธรรมดาของ Search Engine อย่าง Google ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ มีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ
 
...Jamai...
ReadyPlanet Editor
www.ReadyPlanet.com